www.riceexporters.or.th  
home about us members contact us FAQ link site map English Thai

การประชุมสำรองข้าวอาเซียนบวกสาม


     นายพินิจ กอศรีพร ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการสำรองอาหารแห่งอาเซียน ( ASEAB Food Security Reserve Board : AFSRB) และคณะกรรมการโครงการนำร่องเพื่อระบบการสำรองข้าวในเอเซียตะวันออก (Project Steering Committee’s of EAERR) และการประชุมพิเศษคณะกรรมการโครงการนำร่องเพื่อระบบการสำรองข้าวในเอเซียตะวันออก (AFSRB-PSC EAERR Joint Consultative and Special PSC meeting) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย คณะกรรมการสำรองอาหารแห่งชาติ จากประเทศอาเซียน 10 ประเทศ รวม ประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยได้รับเกียรติจากนายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวต้อนรับ

     วัตถุประสงค์ของการประชุมร่วมกันในครั้งนี้ เพื่อพิจารณาด้านกฎหมายถึงความสัมพันธ์กันระหว่าง 2 องค์กร รวมทั้งพิจารณาร่างข้อตกลงต่างๆ ของ EAERR เพื่อนำมาศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งเป็นองค์กรถาวร เป็นกองทุนช่วยเหลือประเทศในกลุ่มสมาชิก โดยจะนำผลสรุปนี้เสนอต่อที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ กับเจ้าหน้าที่อาวุโสของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ที่ประเทศไทย

     นายพินิจ กล่าวว่า โครงการนำร่องเพื่อระบบการสำรองข้าวในเอเซียตะวันออก เป็นความร่วมมือระดับภูมิภาคอาเซียน+ 3 ด้านความมั่นคงด้านอาหาร จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2545 เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารกรณีประเทศสมาชิกเกิดภัยพิบัติฉุกเฉิน เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยแล้งเป็นต้น รวมทั้งแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนอาหารและความยากจน ตลอดจนเพิ่มเสถียรภาพราคาข้าวของประเทศสมาชิกทั้ง 13 ประเทศ โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2547-2550 ซึ่งในการช่วยเหลือจะมีการวางกฎระเบียบที่ชัดเจน

     ทั้งนี้จากการทดลองดำเนินโครงการที่ผ่านมา นับว่าประสบความสำเร็จในส่วนหนึ่ง และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น จึงจัดประชุมขึ้นเพื่อสรุปผลการดำเนินงานต่างๆ ทั้งนี้เพื่อนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น ตลอดจนแก้ไขจุดที่ยังไม่ลงตัวต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายต่างๆ ที่สำคัญยังมองถึงโอกาสที่จะผลักดันองค์กรนี้ให้เป็นองค์กรถาวร เพื่อการช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป

     นอกจากโครงการนำร่องเพื่อระบบการสำรองข้าวในกรณีฉุกเฉินแล้ว ยังมีอีกโครงการที่ไม่ใช้วิธีการให้หรือบริจาค แต่ใช้วิธีการขายไม่ว่าจะเป็นภาวะปกติหรือไม่ปกติ ซึ่งประเทศคู่ค้า คือผู้นำเข้ากับผู้ส่งออกทำสัญญาซื้อขายกัน โดยใช้หลักการที่ว่าทั้งสองฝ่ายยินยอมในราคาที่เห็นชอบร่วมกัน ซึ่งเป็นราคาท้องตลาด ส่วนประเทศอื่นๆ อยู่ระหว่างการเจรจา โดยมีประเทศเวียดนามกับประเทศไทยจัดอยู่ในฐานผู้ส่งออกข้าว ส่วนประเทศอื่นๆ จัดอยู่ในฐานะที่มีข้าวพอเพียงบริโภคภายในประเทศ เช่น พม่า ลาว ส่วนประเทศที่อยู่ในฐานะผู้นำเข้า เช่น สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งที่ผ่านมาจะซื้อจากท้องตลาดที่มีการจำหน่ายอยู่ทั่วไป

     โครงการดังกล่าวที่จัดตั้งขึ้นนั้นเพื่อให้เกิดความมั่นใจ หากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้น จะสามารถหาข้าวได้จากที่ใด โดยขณะนี้ได้มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมชัดเจน คือ การทำสัญญาขายข้าวของรัฐบาลเวียดนามให้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจำนวนประมาณ 300,000 ตัน นอกเหนือจากนี้โครงการบริจาค ที่มีการนำไปช่วยเหลือประเทศสมาชิกแล้ว เช่น ลาว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ส่วนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ คือ เขมร ซึ่งกรณีที่ประเทศใดเกิดมีภัยธรรมชาติทันทีทันใด แต่หากไม่มีภัยธรรมชาติก็จะเข้าในช่วยเหลือในรูปแบบของการแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของโครงการ และได้รับความร่วมมือในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส จนถึงระดับรัฐมนตรีเกษตรของอาเซียนที่ให้ความเห็นชอบร่วมกันเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา

     นายพินิจ กล่าวถึงข้าวที่ได้รับบริจาคจากกลุ่มประเทศสมาชิก ว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่มีการสำรองข้าวไว้ 250,000 ตัน นอกจากนี้ประเทศอื่นๆ ก็ได้มีการประกาศที่จะส่งเข้ามาร่วมในกองทุน เช่น ไทย18,000 ตัน เวียดนาม 12,000 ตัน ลาว 3,000 ตัน เขมร 3,000 ตัน เป็นต้น รวมแล้วประมาณ 87,000 ตัน และบางประเทศที่ไม่ได้เป็นผู้ปลูกข้าวก็จะสนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อ ภายใต้ข้อตกลงร่วมกันว่าเน้นการใช้ข้าวในกลุ่มประเทศอาเซียนบวกสาม เพราะเกรงว่าหากมีการนำข้าวจากประเทศมาใช้ในโครงการจะทำให้สูญเสียตลาดที่เคยเป็นเจ้าของไป

ที่มา กรมประชาสัมพันธ์

 


©
The Rice Exporters Association

37 Soi Ngamduplee , Rama 4 Road , Toongmahamek , Sathorn District , Bangkok 10120 ,
Tel. 0-2287-2674-7 , 0-2287-2663-4 , Fax : 0-2287-2678

E-mail :
contact@riceexporters.or.th or reat@ksc.th.com


Copyright © 2006 All rights reserved by The Rice Exporters Association.