นายวิชัย ศรีประเสริฐ ประธานบริษัท ไรซ์แลนด์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ส่งออกข้าวนึ่งรายใหญ่ เปิดเผย ว่าจากการที่ภาวะราคาน้ำมันตลาดโลกได้ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปัจจุบันใกล้แตะระดับ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ในอนาคตอันใกล้มีโอกาสได้เห็นราคาข้าวส่งออกของไทย ข้าวขาว 100% ( เอฟโอบีไม่รวมค่าขนส่ง) ขึ้นไปถึงตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (34,000 บาทคำนวณที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับตันละ 357 ดอลลาร์สหรัฐ (12,138 บาท) เพราะน้ำมันเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ขณะเดียวกันสภาวะโลกร้อนทำให้หลายประเทศได้รับผลกระทบผลผลิตลดลงจากที่เคยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวต้องหันมานำเข้าข้าว ดังที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้เช่นออสเตรเลีย เป็นต้น จึงทำให้หลายประเทศมีความต้องการนำเข้าข้าว

     "ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ผนวกกับความต้องการสินค้าที่มีมาก จะเป็นเหตุให้ราคาข้าวของไทยสูงขึ้น ส่วนที่คาดว่าจะขึ้นถึงระดับ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ฟังดูเหมือนจะโอเวอร์เกินไป แต่ถ้าหากย้อนไปดูประวัติศาสตร์เมื่อ 30 กว่าปีก่อนคือปี 2516 ราคาข้าวส่งออกของไทยขึ้นไปถึงตันละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะนั้นค่าเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 20 บาทเศษ กระทั่งรัฐบาลต้องประกาศหยุดส่งออกชั่วคราว เพราะเกรงว่าจะส่งออกมากจนเกิดปัญหาขาดแคลน แต่หลังประกาศหยุดส่งออกได้ไม่นานราคาข้าวในประเทศตกต่ำ จึงได้อนุญาตให้ส่งออกปกติ โดยสาเหตุที่ราคาข้าวส่งออกพุ่งขณะนั้นก็เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกขยับขึ้นจาก 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลเป็น 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล เหตุการณ์ครั้งนี้กับครั้งนั้นคล้ายๆ กันจึงมีความเป็นไปได้ที่ราคาข้าวจะขึ้นถึงระดับดังกล่าว ส่วนจะถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือไม่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ราคาข้าวช่วง 1-2 ปีนี้ไม่มีลงอย่างแน่นอน"

     นายวิชัย กล่าวอีกว่าการที่ราคาข้าวยังขยับไม่รุนแรงในช่วงนี้ เนื่องจากสต๊อกข้าวประเทศไทยยังเหลืออยู่จำนวนมาก แม้ว่ารัฐบาลจะได้ประมูลขายออกไป ซึ่งดูเหมือนลดลงไปมากแล้ว หากแต่ยังเป็นเพียงการเปลี่ยนมือจากรัฐบาลคือกระทรวงพาณิชย์ ไปอยู่ในมือพ่อค้าผู้ส่งออกที่ประมูลได้ แต่ข้าวยังไม่ได้ออกไปจากประเทศไทยทั้งหมดตามตัวเลขที่ประมูลออกมา หากสต๊อกประเทศไทยเหลือน้อยลงแล้วเชื่อว่าราคาข้าวจะสูงขึ้นเร็วกว่านี้

     นอกจากแนวโน้มราคาข้าวที่สูงขึ้นแล้ว ราคาธัญพืชอื่นๆ ได้ขยับสูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการส่งออกธัญพืชไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลือง มันสำปะหลังหรือพืชน้ำมันเช่นปาล์มน้ำมัน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าราคาธัญพืชมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะธัญพืชดังกล่าวถูกแข่งขันกันรับซื้อระหว่างอุตสาหกรรมอาหารทั้งคนและสัตว์และอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เช่นไบโอดีเซล เอทานอล เพื่อนำไปใช้แทนน้ำมันที่ราคาสูงขึ้น

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ