นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคม ผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า สมาคมประเมินว่าในช่วงครึ่งปีหลังนั้น ประเทศไทยจะได้รับคำสั่งซื้อข้าวจากรัฐบาลอิหร่านเพิ่ม ขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 4 แสนตัน หรือประมาณ 2 ล็อต
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอิหร่านได้ซื้อข้าวจากไทยแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจีทูจี ไปแล้ว 4 แสนตัน และจากเอกชนอีก 3 แสนตันเศษ รวมประมาณ 7 แสนตัน แต่อิหร่านยัง เหลือความต้องการข้าวอีก 4 แสนตัน จากการนำเข้าข้าวไทยทั้งหมดปีละ 1.2 ล้านตัน
“สาเหตุที่ไทยจะได้ออร์เดอร์จากอิหร่านในส่วน 4 แสนตันนี้ เป็นเพราะเวียดนามคู่แข่งส่งออกข้าวไทยไม่มีข้าวจะส่งออกจนถึง เดือน ก.ย. เป็นโอกาสที่จะได้ขายข้าวได้ตามที่ตั้งเป้าไว้” นายชูเกียรติ กล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ขณะนี้มีผู้ส่งออกข้าวไทย 2 ราย คือบริษัท ไชยพร และบริษัท นครหลวงค้าข้าว ได้ตกลงสัญญาขายข้าวให้กับอิหร่านไปแล้วราว 1 แสนตัน ด้วยราคาตันละ 343 เหรียญสหรัฐ ขณะที่รัฐบาลไทยเอง ก็สามารถเปิดสัญญาซื้อขายข้าวจีทูจีกับรัฐบาลอิหร่านล็อตที่ 3 ได้อีก 1.3 แสนตัน ด้วยราคาใกล้เคียงกัน คือ 340 เหรียญสหรัฐต่อตัน
ในวันที่ 11 ก.ค. สมาคมจะพบกับประธานคณะกรรมการผู้จัดการหน่วยงาน (GTC) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงพาณิชย์อิหร่าน ประเด็นสำคัญในการหารือเป็นเรื่องการปรับมาตรฐานข้าวส่งออก ให้สอดคล้องสถานการณ์การผลิต และป้องกันไม่ให้นำมาเป็นข้ออ้างกดราคาซื้อข้าว
นายชูเกียรติ กล่าวถึงความคืบหน้าการเดินทางไปประชุมความร่วมมือด้านข้าวครั้งที่ 3 ที่ประเทศเวียดนามว่า ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลผลิต-การค้าข้าวเวียดนาม ตอนนี้สิ้นสุดฤดูกาลส่งออกข้าวเวียดนามแล้ว ซึ่งเวียดนามส่งออกได้ 4.3 ล้านตัน จากเป้าหมาย 4.5 ล้านตัน แต่หากมีผลผลิตในช่วงเดือน ก.ย. ก็สามารถส่งออกเพิ่มได้อีก แต่คงไม่เกิน 4.7 ล้านตัน
เวียดนามจะต้องรักษาสต๊อกข้าวภายใน เพื่อให้สอดคล้องกับระดับเงินเฟ้อภายในประเทศ ซึ่งสูงถึง 6% ขณะเดียวกันที่ปริมาณความต้องการบริโภคข้าวภายในประเทศปรับสูงขึ้นเป็น 18 ล้านตัน จากจำนวนประชากร 80 ล้านคน
ที่มา โพสต์ทูเดย์ |