นายยรรยง พวงราช รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมเตรียมความพร้อมร่วมกับหัวหน้าสายตรวจสอบเฉพาะกิจโกดังข้าว ว่า การตรวจคลังข้าวทั้งหมด 422 คลังใน 35 จังหวัด รวมปริมาณ 44.95 ล้านกระสอบนั้นจะเริ่มต้นวันนี้ (12 ก.ย.) โดยแบ่งการตรวจสอบเป็นโซนคือ เอ บี และซี โดยจะเน้นการตรวจสอบในเขตโซน A เพราะมีปริมาณข้าวจำนวนมากถึง 27.9 ล้านกระสอบ และเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดการทุจริต ต้องเน้นการตรวจเข้มทั้ง ปริมาณข้าวโดยกำหนดให้ขาดหรือเกินได้ไม่เกิน 5% ของปริมาณข้าวที่มีอยู่กับในโกดังกับที่ระบุในบัญชี
สำหรับพื้นที่ในโซน A มีทั้งหมด 7 จังหวัดประกอบด้วย จ.นครสวรรค์ เน้นการตรวจมากที่สุดเพราะมีปริมาณข้าวมากถึง 11.27 ล้านกระสอบมีสายตรวจเป็น 8 สาย กำแพงเพชร 6.5 ล้านกระสอบ มีสายตรวจเป็น 4 สาย พิจิตร 1.65 ล้านกระสอบ มีสายตรวจ 1 สาย
"จะเน้นการตรวจสอบในโซนเอเพราะมีปริมาณข้าวที่มากและพื้นที่ที่มีปัญหามากที่สุด ส่วนโซน บีเป็นพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่แม้เคยมีปัญหา แต่มีปริมาณข้าวที่น้อยให้ความสำคัญในการตรวจลดลง" นายยรรยง กล่าว
ในการตรวจสอบข้าวเพื่อต้องการ 1. รู้สต็อกข้าวที่แท้จริงทั้งหมดและตรวจสภาพในเบื้องต้น 2. ป้องกันการทุจริตข้าวหายหรือปลอมปน 3. เพื่อป้องกันไม่ให้สต็อกข้าวเก่าไปปลอมปนกับสต็อกข้าวใหม่ โดยกำหนดให้สายตรวจทุกคณะส่งรายงานผลการตรวจสอบในวันที่ 19 ก.ย.นี้ ขณะเดียวกัน จะมีสายตรวจระดับซี 10 ขึ้นไปทำหน้าที่นำคณะสุ่มตรวจสอบในแต่ละพื้นที่อีกชั้นหนึ่ง
นายยรรยง กล่าวอีกว่า ในกรณีที่พบคลังหรือโกดังใดมีปริมาณข้าวที่ไม่ตรงตามจำนวนให้เจ้าหน้าที่อคส.ที่มีอยู่ในทุกคณะแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ดำเนินการทันที ส่วนการป้องกันการเคลื่อนย้ายข้าว หลังการเข้าตรวจสอบนั้น ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องซีลโกดังมิดชิด โดยมีเพียงเจ้าหน้าที่ 3 คนเท่านั้นที่ถือกุญแจ ได้แก่ เจ้าหน้าที่อคส. เจ้าของคลัง และบริษัทตรวจสอบสภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) ซึ่งหากมีปัญหาเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องรับผิดชอบในเบื้องต้นทันที
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า จะเสนอให้รัฐเร่งระบายข้าวในสต็อก ในช่วง 4 เดือนจากนี้ เพราะมีความเหมาะสม และจะไม่ทำให้ราคาข้าวในตลาดบิดเบือน เพราะยังมีความต้องการข้าว และหากมีการระบายอย่างต่อเนื่อง จะสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาด แต่ขณะนี้ยังห่วงเรื่องการลักลอบข้าวเหนียวเข้ามาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เกรงว่าเป็นข้าวจีเอ็มโอส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของไทย
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|