นายรุจน์ ทรัพย์นิรันดร์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ปทุมไรซ์มิลล์ แอนด์ แกรนารี ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวมาบุญครอง กล่าวว่า ผลจากราคาข้าวหอมมะลิที่ปรับตัวสูงขึ้นขณะนี้ ทำให้ต้นทุนขายปลีกข้าวถุงอยู่ที่ 110-120 บาท/ถุง (5 กิโลกรัม) หากราคาส่งออกข้าวหอมมะลิในปีหน้าขึ้นไปถึง 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน จะทำให้ราคาข้าวในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย ทางผู้ประกอบการข้าวถุงก็คงจะขอปรับขึ้นราคาด้วย อาจจะปรับขึ้นประมาณ 5-10%
“ราคาข้าวที่ขึ้นมาขณะนี้ ทั้งเกษตรกรและโรงสีได้ประโยชน์ เพราะต้นทุนการผลิตไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่สามารถขายได้เพิ่มขึ้น ในส่วนของผู้ประกอบการข้าวถุงก็คงต้องขอปรับราคา หากต้นทุนขึ้น วัตถุดิบข้าวขึ้นไปสูงมาก และยิ่งถ้าปีหน้าผลผลิตข้าวหอมมะลิลดลงจากการที่เกษตรกรหันไปปลูกข้าวเหนียวเพิ่มขึ้น ราคาก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีก” นายรุจน์ กล่าว
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า ความต้องการข้าวหอม มะลิในตลาดมีมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรป (อียู) ที่หันมาสั่งซื้อข้าวหอมมะลิเพิ่ม ทดแทนการนำเข้าข้าวขาวและข้าวนึ่งจากสหรัฐอเมริกา ที่ถูกอียูสั่งห้ามนำเข้า หลังตรวจพบข้าวจีเอ็มโอ
ราคาส่งออกข้าวหอมมะลิขณะนี้ปรับตัวสูงขึ้นมาก อยู่ที่ระดับ 630 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากผู้นำเข้าตลาดอียูยอมสู้ราคาข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้นจากเดิมที่จะรับกับราคานำเข้าแค่ 500 เหรียญสหรัฐ/ตันเท่านั้น
“กระแสสหรัฐถูกแบนนำเข้าข้าวจากอียู มีส่วนทำให้ข้าวไทยถูกสั่งนำเข้าเพิ่มขึ้น แต่คงไม่เฉพาะข้าวหอมอย่างเดียว แต่จะนำเข้าเพิ่มทั้งข้าวขาวและข้าวนึ่งด้วย” นายชูเกียรติ กล่าว แนวโน้มดังกล่าวทำให้คาดว่าปีหน้าราคาส่งออกข้าวหอมมะลิจะสูงขึ้นไปถึง 800-1 พันเหรียญ สหรัฐ/ตัน ส่งผลให้ราคาข้าวหอมมะลิภายในประเทศขึ้นตามไปด้วย
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงสีเปิดเผยว่า หากปีหน้าราคาข้าวหอมมะลิสูงถึง 800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาข้าวภายในประเทศจะขึ้นไปถึงตันละ 1.3 หมื่นบาท ส่งผลให้ต้นทุนขายปลีกข้าวถุงจะขึ้นไปถึง 150-160 บาท/ถุง จากปัจจุบันต้นทุนอยู่ที่ 120 บาท/ถุง
ที่มา โพสต์ทูเดย์
|