นายวิทยา ฉายสุวรรณ รองอธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า กรมการข้าวแยกตัวออกมาจากกรมวิชาการเกษตร ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.49 จนถึงปัจจุบันกว่าปีเศษ พบว่า การดำเนินงานของกรมยังขาดความคล่องตัวและมีปัญหามาก เนื่องจากต้นสังกัดเดิมไม่ยอมโอนงานที่เกี่ยวกับข้าวมาให้ดูแลทั้งหมด

     ทั้งนี้กรมการวิชาการเกษตร ควรจะโอนให้กรมการข้าวดูแลโดยตรง มี 3 ด้าน คือ 1. กองทุนวิจัยพันธุ์ข้าว 2. งานด้านเครื่องจักรกล และ 3. การบังคับใช้กฎหมายบางประเภท

     ในส่วนของกองทุนวิจัยพันธุ์ข้าว พบว่า มีวงเงินหมุนเวียนอยู่ในขณะนี้ ประมาณ 200 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายพันธุ์ข้าว แต่เงินดังกล่าวกรมวิชาการเกษตรยังบริหารอยู่ ทั้งที่หน่วยงานเกี่ยวกับการวิจัยพันธุ์ข้าวได้แยกมาสังกัดกรมการข้าวหมดแล้ว

     ปัจจุบันเนื่องจากหน่วยงานทางด้านวิจัยพันธุ์ข้าวได้ย้ายมาสังกัดกรมการข้าว ส่งผลให้รายได้ของกองทุนดังกล่าวต้องคืนให้กับกองคลัง ของกรมวิชาการเกษตรทั้งหมด ไม่สามารถนำมาบริหารจัดการในเรื่องการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ข้าวต่อได้

     “เงินมีอยู่ในกองทุน 200 ล้าน เราก็ขอให้เขาตัดโอนมาให้ อย่างน้อยประมาณ 50 ล้านบาท ก็ยังดีเพื่อเอาไปทำเรื่องของงานวิจัยพันธุ์ข้าว เพื่อให้เกิดการวิจัยพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีที่เหมาะสมให้คล่องตัวยิ่งขึ้น ตอนนี้ก็อาศัยเงินงบประมาณปีละ 100 ล้านบาทเท่านั้น สำหรับใช้ในหน่วยงานด้านการวิจัยพันธุ์ข้าว ถือว่าน้อยมาก" นายวิทยา กล่าว

     นายวิทยา กล่าวว่า งานเกี่ยวกับเครื่องจักรกลทางการเกษตร เช่น เครื่องเก็บเกี่ยว เครื่องดำนา ควรที่จะอยู่ในสังกัดกรมการข้าว เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของชาวนาโดยตรง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงาน ยังไม่อยากแยกตัวออกมา

     สำหรับการบังคับใช้กฎหมายบางประเภท เช่น เรื่องตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ข้าว ขณะนี้หน่วยงานของกรมการข้าวไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบหรือไปบังคับใช้กฎหมาย กรมได้เสนอขอไปยังกระทรวงเกษตรฯ ให้อำนาจประกาศเป็นกฎกระทรวง มอบให้เจ้าหน้าที่ของกรมการข้าวมีอำนาจเป็นเจ้าพนักงาน เพื่อดำเนินการตรวจสอบ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

     “ปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่รู้เหตุผลว่าติดขัดในเรื่องใด เพราะที่ผ่านมามีการพูดคุยกันนอกรอบระหว่างผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรฯ และยังมีการทำหนังสือไปอย่างเป็นทางการ แต่ยังไม่มีการตอบกลับมา" นายวิทยา กล่าว

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ