นายวิจักร วิเศษน้อย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การเสนอราคาปรับปรุงคุณภาพข้าวขาวปริมาณรวม 34,150 ตัน เพื่อส่งมอบให้กับรัฐบาลอิหร่านและอินโดนีเซียนั้น ผลปรากฏว่ามีผู้เสนอราคาเข้ามา 8 ราย แบ่งเป็น 4 รายแรก เสนอราคาปรับปรุงคุณภาพข้าวขาว 100% ชั้น 2 ปริมาณ 23,870 ตัน เพื่อส่งมอบให้กับรัฐบาลอิหร่าน โดยผู้เสนอราคาดีสุด คือบริษัทพงษ์ลาภ เสนอปรับปรุงในราคาต่ำสุดที่ 1,320 บาทต่อตัน ปริมาณรวม 23,870 ตัน รองลงมาเป็นบริษัทไทยมาพรรณเทรดดิ้ง ราคา 1,350 บาทต่อตัน ปริมาณ 5 พันตัน บริษัทกรุงไทยพืชผล ราคา 1,370 บาทต่อตัน ปริมาณ 8 พันตัน และบริษัทไทยฮา ราคา 1,380 บาทต่อตัน ปริมาณ 5 พันตัน
ขณะที่การเสนอราคาปรับปรุงคุณภาพข้าวขาว 15% ปริมาณ 10,280 ตัน ให้กับรัฐบาลอินโดนีเซีย มีผู้เสนอราคา 4 รายเช่นกัน โดยผู้เสนอราคาต่ำสุดคือ เป็น หจก.ข้าวอัมรินทร์ ราคา 950 บาทต่อตัน ปริมาณ 2 พันตัน รองลงมาเป็นบริษัทไทยฮา ราคา 965 บาทต่อตัน ปริมาณ 5 พันตัน ส่วนบริษัทพงษ์ลาภ ราคา 1,010 บาทต่อตัน ปริมาณ 10,280 ตัน และบริษัทนครสวรรค์ค้าข้าว ราคา 1,050 บาทต่อตัน ปริมาณ 10,280 ตัน
ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการจะต่อรองกับผู้เสนอราคาทุกราย โดยใช้ราคาและเงื่อนไขที่ดีที่สุด คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้ และจะเสนอให้นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ อนุมัติ และผู้ส่งออกจะต้องส่งมอบข้าวภายในเดือนพ.ย.นี้ ” นายวิจักร กล่าว
นายวิจักร กล่าวว่า การปรับปรุงคุณภาพข้าวเพื่อส่งมอบโดยรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ครั้งนี้จะเป็นล็อตสุดท้าย คาดว่าในอีก 1-2 เดือนนี้จะมีการออเดอร์ข้าวจีทูจีเพิ่มอีก โดยเฉพาะในตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา ทำให้กรมเชื่อว่าการส่งออกข้าวในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 8.5 ล้านตัน สำหรับสถานการณ์การส่งออกข้าวในช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.50) มีปริมาณ 5.34 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 11.38% มูลค่า 1.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 26.11%
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ข้าวที่กระทรวงพาณิชย์นำมาเปิดให้ผู้ส่งออกเสนอราคาปรับปรุงคุณภาพข้าวเพื่อส่งมอบไปรัฐบาลอิหร่าน และอินโดนีเซีย รวมปริมาณ 34,150 ตันในครั้งนี้ เป็นโควตาที่บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ไม่มาปรับปรุงตามสิทธิที่ได้รับ จึงต้องเปิดประมูลหาเอกชนรายอื่นให้มาปรับปรุงแทน คาดว่ารัฐจะอนุมัติให้กับผู้ปรับปรุงที่เสนอราคาดีสุด โดยเฉพาะข้าวอิหร่าน ซึ่งคาดว่าจะเป็นบริษัทพงษ์ลาภ เพราะต้องเร่งส่งมอบให้กับรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศภายในเดือนพ.ย.
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|