กระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) ไทยส่งออกข้าวได้แล้วประมาณ 4.69 ล้านตัน คิดเป็น 55.2% ของเป้าหมายการส่งออกข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าไว้ที่ 8.5 ล้านตัน หรือมูลค่าประมาณ 1,743 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 67% ของเป้าหมายดังกล่าว ราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 372 เหรียญสหรัฐ โดยข้าวที่ส่งออกดังกล่าวเป็นข้าวหอมมะลิไทย 1.66 ล้านตัน มูลค่า 740 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนเดือนส.ค.นี้ คาดว่าการเพิ่มขึ้นของค่าระวางเรือ การอ่อนตัวของเงินเหรียญสหรัฐ และการงดทำสัญญาขายข้าวของเวียดนามจะส่งผลให้ภาวะการค้าข้าวโดยทั่วไปค่อนข้างชะลอตัวลง โดยเฉพาะตลาดในแถบภูมิภาคแอฟริกาที่ส่วนใหญ่ยังคงสั่งซื้อข้าวเท่าที่จำเป็น

     อย่างไรก็ตาม คาดว่าเดือนส.ค.นี้ไทยจะรักษาระดับการส่งออกข้าวให้อยู่ในระดับ 6.5 แสนตันได้เนื่องจากไทยยังมีโอกาสขายข้าวในตลาดภูมิภาคอื่นๆ เพื่อชดเชยตลาดแอฟริกาที่มีคำสั่งซื้อลดลง เนื่องจากประเทศคู่แข่งส่วนใหญ่มีผลผลิตและส่งออกข้าวในปริมาณที่จำกัด ขณะที่ไทยมีข้าวในสต๊อกพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าตามกำหนดระยะเวลา อีกทั้งอิรักและเกาหลีใต้มีความต้องการข้าวและตกลงซื้อข้าวจากผู้ส่งออกประมาณ 4 แสนตัน นอกจากนี้รัฐบาลต้องส่งมอบข้าวตามสัญญาเก่าให้กับอิหร่านและอินโดนีเซียอีก 7 หมื่นตัน ซึ่งจะทำให้ตลาดภายในประเทศมีความเคลื่อนไหวซื้อขายข้าวมากขึ้นและจะเอื้อประโยชน์ในการจำหน่ายข้าวในสต๊อกของรัฐบาล

     นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า การส่งออกข้าวในปีนี้อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยปริมาณการส่งออกน่าจะอยู่ที่ประมาณ 8 ล้านตันเท่านั้น เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายปัจจัย ที่สำคัญ ได้แก่ ขาด แคลนเรือรับส่งสินค้า ส่งผลให้ค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากปีหน้าประเทศจีน จะเป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาโอลิมปิก จีนจึงต้องใช้เรือในการขนส่งวัสดุต่างๆ ที่ใช้ในการเตรียมความพร้อม จึงเสนอค่าระวางเรือที่สูง ทำให้เรือบรรทุกสินค้าต่างหลั่งไหลเข้าไปในประเทศจีน นอกจากนี้ ราคาข้าวของไทยสูงขึ้นจากการแข็งค่าของเงินบาท โดยในขณะนี้ราคาข้าวไทยสูงกว่าข้าวจากเวียดนามประมาณ 40 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้นี้มีออร์เดอร์ค่อนข้างน้อย เพราะลูกค้าบางส่วนหันไปนำเข้าข้าวจากเวียดนามและอินเดียแทน

ที่มา ข่าวสด