นายพิสุทธิ์ ชลากรกุล ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการพิจารณาระบายข้าวสาร ได้ประชุมและมีมติให้ระบายข้าวสารปริมาณ 7 แสนตัน ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการระบายข้าวครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน หากสามารถระบายหมดตามจำนวน จะทำให้ข้าวในสต็อกของรัฐลดเหลือ 3 ล้านตัน จากจำนวนทั้งหมด 4 แสนตัน ซึ่งจะมีพื้นที่โกดังเก็บรักษาข้าวเพียงพอที่จะรองรับผลผลิตฤดูกาลใหม่ที่จะออกสู่ตลาดเดือนพ.ย.นี้
”การประมูลข้าวครั้งนี้ 7 แสนตัน เมื่อรวมกับก่อนหน้านี้ ที่ระบายได้แล้ว 3 แสนตัน ก็จะทำให้ข้าวในสต็อกรัฐบาลหายไป 1 ล้านตัน ซึ่งจะมีพื้นที่โกดังเหลือพอที่จะรองรับข้าวฤดูกาลใหม่ ที่จะออกสู่ตลาดพ.ย.นี้ ซึ่งรัฐมีกำหนดการระบายข้าว ช่วงก.ย.- ต.ค.นี้ อย่างต่อเนื่อง“ นายพิสุทธิ์ กล่าว
ข้าวที่จะออกประมูล 7 แสนตัน แบ่งเป็นข้าวหอมมะลิปริมาณ 1 แสนตัน และที่เหลือเป็นข้าวขาว ขณะนี้อยู่ในขั้นรอให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการระบายข้าวฯ หรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามอนุมัติ ก่อนประกาศให้โรงสีและผู้ส่งออกข้าวเข้าดูสภาพข้าวในโกดังได้ และเสนอราคาร่วมประมูล
ข้าวที่ได้รับอนุมัติออกประมูลครั้งนี้ เป็นข้าวที่บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ประมูลได้และไม่มารับมอบครึ่งหนึ่ง และที่เหลือเป็นข้าวสต็อกของรัฐบาล เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถประมูลได้ตามราคาตลาด
นายสมพงษ์ กิติเรียงลาภ ประธานกรรมการ บริษัท พงษ์ลาภ จำกัด กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่ารัฐจะระบายสต็อกข้าวได้ 1 ล้านตัน ก่อน พ.ย.นี้ เพราะการประมูล 7 แสนตัน เป็นปริมาณที่สูงมาก ขณะที่ผู้ร่วมประมูลจะมีน้อย เพราะติดขัดเงื่อนไขการวางเงินค้ำประกันสัญญา 0.2% และกำหนดเวลารับมอบข้าวที่มีจำกัด
นายสมพงษ์ กล่าวว่า พงษ์ลาภ มีแผนจะร่วมประมูลครั้งนี้ เพราะประเมินความต้องการตลาดว่า ยังมีความต้องการสูง แต่ข้าวที่จะออกประมูลเป็นข้าวเก่า ทำให้ต้องประมูลไว้ เพื่อผ่านกระบวนการและจัดหาตลาดที่เหมาะสม คาดว่าการระบายข้าวครั้งนี้ รัฐจะขายได้ราคาต่ำกว่าตลาดราว 20-30 บาทต่อตัน
ทั้งนี้ ตลาดต่างประเทศเช่นอินโดนีเซีย มีความต้องการข้าวขาวจนถึงสิ้นปีนี้อีก 4-5 แสนตัน โดยพงษ์ลาภได้ลงนามซื้อขายข้าวขาว 5% กับรัฐบาลอินโดนีเซียแล้ว 5 หมื่นตัน แต่มีเงื่อนไขเป็นข้าวที่เก็บเกี่ยวไม่เกิน 5 เดือน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|