นายปราโมทย์ วานิชานนท์ ประธานที่ปรึกษาสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดเผยว่า ภารกิจที่อยากให้รัฐบาลชุดใหม่สานต่ออย่างเร่งด่วนคือยุทธศาสตร์ข้าว ขณะนี้ยุทธศาสตร์ข้าวของประเทศซึ่งจัดทำขึ้นโดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องข้าวและใช้เวลาระดมความคิดเห็นร่วมกันมานานกว่า 3 ปี ได้จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยสาระของยุทธศาสตร์ 80% ให้น้ำหนักลงไปที่การพัฒนาภาคผลิตหรือตัวเกษตรกรผู้ผลิตข้าว ส่วนที่เหลือจะเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวโดยองค์รวมทั้งหมด
"เหตุที่ให้ความน้ำหนักที่ภาคผลิตหรือตัวชาวนาผู้ผลิตข้าว เพราะเชื่อว่าหากยกระดับขีดความสามารถการผลิตของชาวนาได้ ชาวนามีองค์ความรู้ รู้จัดลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตต่อไร่ พัฒนาคุณภาพ อนาคตจะสามารถสู้กับราคาตลาดที่มีขึ้นมีลงได้"นายปราโมทย์กล่าวและว่า
ความจริงแล้วข้าวไทยพร้อมแข่งขันได้ตลอดเวลา หากแต่ยังขาดการบริหารจัดการ ขาดเจ้าภาพที่จะจัดการ ยุทธศาสตร์ข้าวที่จัดทำขึ้นจึงเสมือนโรดแมป ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ต้องให้ความสำคัญและพัฒนาตามยุทธศาสตร์เพื่อข้าวไทยจะได้พัฒนาอย่างยั่งยืน หากชาวนายังมีต้นทุนผลิตที่สูง ภาพของการเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกจะเป็นได้แค่ภาพลวงตา แต่ข้างในยังกลวงอยู่
ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวทำนองเดียวกันว่า อยากให้รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ข้าว มุ่งมั่นพัฒนาข้าวอย่างจริงจัง พัฒนาระบบชลประทาน ระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนผลิต เพราะเวลานี้ประเทศคู่แข่งขันโดยเฉพาะประเทศเวียดนามพัฒนาอย่างรวดเร็วมาก หากไทยยังชะล่าใจอยู่ ไทยมีโอกาสเสียแชปม์ผู้ออกข้าวอันดับหนึ่งให้กับเวียดนาม ซึ่งหากถึงเวลานั้นจะเป็นสิ่งที่น่าเสียใจที่สุดสำหรับประเทศไทย
"แม้ว่าเวลานี้เวียดนาม อินเดีย จะระงับการส่งออกข้าว แต่จะเป็นช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่ทั้งสองประเทศเขายังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยชะล่าใจไม่ได้เลย จึงอยากให้รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบอย่างยั่งยืน การรับจำนำไม่ควรทำให้กลไกตลาดบิดเบือน ไม่เกิน 5-10 ปีข้างหน้า ข้าวไทยต้องมีศักยภาพการแข่งขันที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่"
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
|