นายพิสุทธิ์ ชลากรกุล ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า กรณีการแจ้งความดำเนินคดีกับโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ จ.นนทบุรี ขณะนี้ อคส.เตรียมที่จะขยายผลการสอบสวนไปยังผู้ส่งออกข้าว ประมาณ 7-8 ราย หลังจากที่พบหลักฐานเป็น "หนังสือการหักภาษี ณ ที่จ่าย" มีการรับซื้อข้าวจาก โรงสีกิจเจริญพาณิชย์ ซึ่ง อคส.สงสัยว่าจะเป็นข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2550 ที่หายไปจากโกดังจำนวนประมาณ 4,000 ตัน

     ทั้งนี้ อคส.ได้อนุมัติให้โรงสีกิจเจริญพาณิชย์ เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2550 ในเดือนมีนาคม 2550 และเปิดจุดรับจำนำข้าวเปลือกจากเกษตรกรในสิ้นเดือนเดียวกันนี้ ผลการรับจำนำข้าวเปลือกของโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ระหว่างเดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม 2550 ปรากฏ โรงสีรับจำนำข้าวเปลือกจากเกษตรกร 232 ราย คิดเป็นปริมาณข้าวเปลือก 6,700 ตัน

     ทาง อคส.ได้สั่งให้โรงสีกิจเจริญพาณิชย์ แปรสภาพเป็นข้าวสารไปแล้วเป็นจำนวน 2,744 ตันข้าวเปลือก หรือได้ข้าวสาร 1,666 ตัน ในจำนวนนี้ได้ส่งมอบให้โกดังกลางของ อคส.ไปแล้ว 1,076 ตันข้าวสาร คงเหลือข้าวสารที่ยังไม่ได้ ส่งมอบโกดังกลางอีก 590 ตัน และจะต้องเหลือข้าวเปลือกที่ยังไม่ได้สั่งให้แปรสภาพอีก 3,956 ตัน

     อย่างไรก็ตาม ในปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี้ เจ้าหน้าที่คลังสินค้า อคส. จ.นนทบุรี-นครปฐม ค้นพบว่า ข้าวตามโครงการรับจำนำ ข้าวเปลือกนาปรังปี 2550 ของ อคส.ที่ควรจะต้องเหลืออยู่ในโกดังของโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ ไม่น้อยกว่า 4,000 ตันได้หายไปจากโกดังอย่างปราศจากร่องรอยทั้งๆ ที่ตัวโกดังคล้องกุญแจปิดอยู่ ส่งผลให้ อคส.ตัดสินใจแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอไทรน้อยในข้อหาความผิดฐานยักยอกทรัพย์

     นายพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ได้กล่าวต่อไปว่า หลังจากที่ อคส.ได้ขอหมายค้นไปยังศาลจังหวัดนนทบุรี และได้เข้าไปตรวจค้น อาคารโรงสีโกดังเก็บข้าวเปลือกพบเอกสารการซื้อขายข้าวสาร/ข้าวเปลือกของโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ กับผู้ค้าข้าวเป็นจำนวนหลายรายการ ทางตำรวจได้สั่งอายัดหลักฐานเหล่านี้ไว้แล้ว

     "อคส.ได้ทำการตรวจสอบหลักฐานเหล่านี้แล้ว ขั้นต้นพบว่าโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ มีการขายข้าวให้กับผู้ส่งออก ไปแล้ว 7-8 ราย โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือการหักภาษี ณ.ที่จ่าย จึงต้องตรวจสอบในประเด็นว่า โรงสีกิจเจริญพาณิชย์ มีการซื้อข้าวจากแหล่งอื่น เพื่อนำมาส่งมอบให้กับผู้ส่งออกหรือไม่ หากโรงสีไม่สามารถพิสูจน์การซื้อข้าวจากที่อื่นได้ก็เท่ากับ โรงสี เอาข้าวในโครงการรับจำนำของ อคส.มาขาย หากเป็นเช่นนั้น เราจะต้องดำเนินคดีกับทั้งโรงสีข้าว และ ผู้ส่งออก ที่รับซื้อข้าวด้วยในฐานรับซื้อของโจรทันที" นายพิสุทธิ์กล่าว

     สำหรับปริมาณข้าวเปลือกที่หายไปจาก โกดังของโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ จำนวน 3,956 ตันนั้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายในส่วนของข้าวเปลือก 5% มูลค่า 26 ล้านบาท และข้าวสาร 5% มูลค่า 6.4 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 32.4 ล้านบาท และนอกเหนือไปจากกรณีของโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ แล้ว อคส. ยังแจ้งความดำเนินคดีกับโรงสีข้าวที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกกับรัฐบาลในข้อหายักยอกทรัพย์รวมแล้วอีก 4 แห่ง ได้แก่ โรงสีจังหวัดพิจิตร 2 แห่ง กับจังหวัดนครสวรรค์ 2 แห่ง รวมปริมาณข้าว 15,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

     การดำเนินการในครึ่งปีหลังนี้ นายพิสุทธิ์กล่าวว่า อคส.จะให้ความสำคัญกับนโยบายการป้องปรามการทุจริตในการรับจำนำสินค้าเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวเป็นพิเศษ การเข้มงวดเอาจริงเอาจังกับผู้เข้าร่วมโครงการส่งผลให้การ "ทุจริต" ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างกรณี โรงสีจ่ายเงินใต้โต๊ะให้เซอร์เวเยอร์ กระสอบละ 7 บาทนั้น "ก็ไม่มีการร้องเรียนเข้ามาอีก"

     แต่ก็มีโรงสีบางกลุ่มที่กำลังจับตามอง อคส.ในยุคนี้อย่างใกล้ชิดในข้อที่ว่า เมื่อไหร่ผู้บริหารถึงจะ "กดปุ่ม" ไฟเขียวเสียที ซึ่งในประเด็นนี้ นายพิสุทธิ์ยืนยันตลอดสมัยการดำรงตำแหน่ง ผอ.อคส.ของตนจะไม่ยอมให้มีเรื่องการทุจริตเกิดขึ้นเหมือนในอดีตอย่างเด็ดขาด

     "การสาวไปถึงผู้ส่งออก ในกรณีของโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ ที่เรามีหลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่ายนั้น ผมเข้าใจว่า ทำให้ผู้ส่งออกข้าวบางรายเดือดร้อนแล้ว ทั้งๆ ที่ผมรู้ดีว่า ในวงการค้าข้าวก็วนเวียนอยู่กับผู้ส่งออกข้าว 10-15 รายหลักที่ดำเนินธุรกิจนี้อยู่ หากตรวจสอบไปจริงๆ แล้ว ผมว่าครึ่งหนึ่งเข้าข่าย เหตุที่ผมต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการป้องปรามมากกว่า ว่า เราไม่ต้องการให้กรณีอย่างนี้เกิดขึ้นอีกในการรับจำนำครั้งต่อไป"

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ