|
ส.ผู้ส่งออกข้าวโต้ อคส. แจงไม่รับซื้อของโจร
|
หลังจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ออกมาเปิดเผยว่า ผู้ส่งออก 8 รายมีส่วนเกี่ยวข้องในการรับซื้อข้าวของโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ จ. นนทบุรี ที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2550 และถูกตรวจสอบว่าข้าวที่รับจำนำหายไปจำนวน 4,000 ตัน และเตรียมแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ส่งออกฐานรับซื้อของโจร ส่งผลให้กลุ่มผู้ส่งออกข้าวเกิดปฏิกิริยาไม่พอใจการให้ข้อมูลดังกล่าวของ อคส.
นายชรินทร์ หาญสืบสาย ผู้จัดการสมาคมผู้ส่งข้าวออกไปต่างประเทศ เปิดเผยว่า สมาคมได้ทำหนังสือไปยังนายสมพงษ์ วนาภา ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การคลังสินค้า (บอร์ด อคส.) เพื่อชี้แจงกรณีนี้ เพราะถือว่าเป็นการกล่าวที่รุนแรงและสร้างความเสียหายให้กับผู้ส่งออก
ทางผู้ส่งออกได้ชี้แจงไปว่า ตามปกติแล้วผู้ส่งออกจะซื้อข้าวต่อจากหยงไม่ได้ซื้อจากโรงสีโดยตรง ส่วนการซื้อโดยตรงจะเป็นข้าวสาร แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะซื้อข้าวที่โรงสีไปขโมยจาก อคส.มา ไม่มีใครอยากทุจริต หรือทั้ง 8 รายก็ไม่ใช่จะซื้อข้าวที่โรงสีทุจริตมาทั้งหมด และข้าวปริมาณไม่มากนัก แต่ข้อกล่าวหาทำให้ผู้ส่งออกเสื่อมเสียชื่อเสียง ถ้า อคส.พบว่าโรงสีทำผิดก็จับไปดำเนินคดีก็ไม่ผิด แต่ไม่ควรกล่าวหาผู้ส่งออกว่ารับซื้อของโจร หากดำเนินคดีกับรายไหนก็บอกรายนั้นไปเลย จึงได้ทำหนังสือชี้แจงไปแล้ว
ในส่วนของ อคส.นั้น นายพิสุทธิ์ ชลากรกุล ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า ได้รับหนังสือจากผู้ส่งออกแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการนำเข้าที่ประชุมบอร์ด อคส. อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ผู้ส่งออกกลุ่มดังกล่าวได้ซื้อข้าวจากโรงสีที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีได้จริง
ซึ่งทาง อคส.ต้องดำเนินการตรวสอบเพิ่มเติมและดำเนินการตามกระบวนการต่อไป ซึ่งพบว่าผู้ส่งออกมีความเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการรวบรวมหลักฐาน หากมีความเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินคดีในฐานรับซื้อของโจร ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกถูกขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์
"จากการตรวจสอบปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการซื้อสินค้าจากโรงสี ซึ่งเป็นไปได้ 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ ซึ่ง อคส.ต้องดำเนินการ ตามเนื้อผ้า การตรวจสอบยังพบว่าโรงสีขาดทุนสะสม 44 ล้านบาท และยังเป็นหนี้อีก 100 ล้านบาท ส่วนเครื่องจักรและที่ดินทุกอย่างก็ติดจำนองอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาประเมินเบื้องต้นว่าโรงสีไม่มีกำลังในการรับซื้อข้าวเพื่อมาขายให้กับผู้ส่งออก ทั้งยังมีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่สามารถสืบลงไปได้ แต่ต้องหาหลักฐานให้แน่นกว่านี้จะสามารถดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้องได้" นายพิสุทธิ์กล่าว
ก่อนหน้านี้ อคส.ได้แจ้งความดำเนินคดีกับโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2550 และถูกตรวจสอบว่าข้าวที่รับจำนำหายไปจำนวน 4,000 ตัน จึงได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ไว้แล้วที่สถานีตำรวจภูธร อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี และเตรียมสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมไปยังผู้ส่งออกประมาณ 7-8 ราย
โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบหลักฐานเป็นหนังสือการหักภาษี ณ ที่จ่าย จึงต้องตรวจสอบในประเด็นว่ามีการซื้อข้าวจากแหล่งอื่นเพื่อนำมาส่งมอบให้ผู้ส่งออกหรือไม่ หาก โรงสีไม่สามารถพิสูจน์การซื้อข้าว
สำหรับกรณีโรงสีกิจเจริญพาณิชย์ จ.นนทบุรี ได้เข้าร่วมโครงการนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-22 พฤษภาคม 2550 โดยปริมาณข้าวที่รับฝาก 6,700 ตัน แต่สั่งสีแปรสภาพไปแล้ว จำนวน 2,744 ตัน ซึ่งจะได้ข้าวสาร 5% ปริมาณ 1,666 ตัน ส่งให้โกดังกลางแล้ว 1,076 ตัน ทำให้เหลือข้าวสาร 5% ปริมาณ 590 ตัน และเหลือข้าวเปลือก 5% ที่ยังไม่ได้สั่งสีอีกจำนวน 3,956 ตัน
ซึ่ง อคส.ได้เข้าตรวจสอบโกดังเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 แต่ไม่พบข้าวที่เหลือจำนวนดังกล่าว ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายในส่วนของข้าวเปลือก 5% มูลค่า 26 ล้านบาท และข้าวสาร 5% มูลค่า 6.4 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 32.4 ล้านบาท
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ |
|
|
|
|
© The Rice Exporters Association
37 Soi Ngamduplee , Rama 4 Road , Toongmahamek , Sathorn District , Bangkok 10120 ,
Tel. 0-2287-2674-7 , 0-2287-2663-4 , Fax : 0-2287-2678
E-mail : contact@riceexporters.or.th or reat@ksc.th.com
Copyright © 2006 All rights reserved by The Rice Exporters Association.
|
|
|