รายงานข่าวกรณีการยุติบทบาทของคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) พร้อมกับการตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ซึ่งจะมีการประชุมครั้งแรกในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยนายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ กล่าวว่า ประเด็นที่จะมีการหารือเป็นการเร่งด่วนคงจะเป็นการส่งต่อเรื่องจากการดำเนินการของ กนข.

     ส่วนการตั้งคณะอนุกรรมการด้านการผลิต กับคณะอนุกรรมการด้านการตลาด ภายใต้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาตินั้น จะขึ้นอยู่กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่าจะกำหนดไว้ให้สามารถตั้งได้ทันทีหรือไม่ ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการด้านการตลาด จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ส่วนคณะอนุกรรมการด้านการผลิต จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน

     "การยุติบทบาทของ กนข.จะทำให้คณะอนุ กรรมการที่ถูกแต่งตั้งภายใต้ กนข. 2 ชุดคือ คณะอนุกรรมการระบายข้าวเปลือกกับคณะอนุกรรม การระบายข้าวสาร ต้องยุติการดำเนินงานลงชั่วคราว เพราะเดิมกำหนดให้ รมต.พาณิชย์เป็นผู้พิจารณาอนุมัติได้เลย แล้วจึงเสนอเข้าสู่ที่ประชุม กนข. แต่เมื่อไม่มีคณะอนุกรรมการ ก็จะไม่มีการระบายข้าวในขณะนี้ ส่วนงานที่เป็นหน้าที่ของกรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ หรือองค์ การคลังสินค้า (อคส.) หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำได้ตามปกติ เช่น การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) หากมีการเสนอก็ทำได้" นายการุณกล่าว

     การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาตินั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี "อนุมัติ" ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอไปตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีกรรมการประกอบด้วยรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิด้านข้าว เพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายการผลิตและการตลาดข้าวอย่างเหมาะสมเป็นเอกภาพและบูรณาการ โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นฝ่ายเลขานุการ

     สาเหตุที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เพราะไทยควรมีหน่วยงานหลักดูแลรับผิดชอบอย่างมีเอกภาพ ครบวงจรทั้งการกำหนดนโยบาย การกำกับดำเนินมาตรการและติดตามประเมินผลในส่วนของสินค้าข้าว ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรหลักที่มีความสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจ ในภาพรวมเป็นสินค้าอาหารและเป็นแหล่งรายได้ของเกษตรกรรายย่อยกว่า 3.7 ล้านครัวเรือน หรือร้อยละ 66 ของครัวเรือนเกษตรกรทั้งประเทศ ทั้งยังมีการลงทุนในด้านชลประทานกว่า 32 ล้านไร่ มีการลงทุนวิจัยด้านพันธุ์ข้าวและอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการดูแลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การผลิตข้าวมีการใช้ทรัพยากรดินและน้ำจำนวนมาก และยังเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งมีผลต่อภาวะโลกร้อน

     ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังผู้ค้าข้าวหลายรายถึงการเปลี่ยนแปลงองค์กรที่ดูแลเรื่องข้าวในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า ในทางปฏิบัติคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะกระทรวงพาณิชย์ก็ยังคุมกลไกด้านการตลาด การรับจำนำข้าว และการระบายข้าวเหมือนเดิม ส่วนกระทรวงเกษตรฯก็เข้ามาดูแลเรื่องผลผลิต ผ่านทางอนุกรรมการทั้ง 2 ชุด ก็เหมือนกับจับมาแต่งตัวกันใหม่ ตั้งคณะอนุกรรมการกันใหม่ แต่วิธีปฏิบัติเหมือนเดิม

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ