น.พ. สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วานนี้ (31 ก.ค.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้นำข้าวที่อยู่ในสต็อกของรัฐบาลจำนวน 2.1 ล้านตัน ออกไปขายให้กับรัฐบาลต่างประเทศในลักษณะรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ที่ได้ทำหนังสือขอความช่วยเหลือมายังรัฐบาลไทยจำนวนมาก
"รัฐบาลจะไม่เปิดประมูลขายข้าวแน่นอน แต่เน้นขายแบบรัฐต่อรัฐ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อราคาข้าวในประเทศ แม้ว่าราคาข้าวในตลาดโลกจะปรับลดลงก็ไม่ส่งผลต่อราคาข้าวในสต็อกเช่นกัน เพราะเป็นข้าวที่รับซื้อมาก่อนปี 2550 ซึ่งมีราคาต่ำกว่าในขณะนี้มาก" น.พ.สุรพงษ์ กล่าว
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด ถึงนายนัที เปรมรัศมี รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ขณะนี้หลายประเทศแจ้งความประสงค์ขอซื้อข้าวจากไทย อาทิเช่น รัฐบาลจิบูตี ไนจีเรีย และ เซเนกัล
อย่างไรก็ตามประเทศคู่แข่งของไทย ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน และเวียดนาม ได้เริ่มแสดงบทบาท ในการเข้าสู่ตลาดข้าวในแอฟริกา โดยการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการขายข้าวในราคาที่ถูกกว่า จึงต้องเร่งตรวจสอบสต็อกข้าวพร้อมกำหนดราคากลาง เพื่อประชาสัมพันธ์โดยเร็ว รักษาฐานลูกค้าและตลาดข้าวของไทยในแอฟริกา
นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศที่ติดต่อขอซื้อข้าวจากไทย มีดังนี้ ไลบีเรีย 60,000 ตัน โครงการอาหารโลก 20,000-25,000 ตัน อิหร่าน 120,000- 200,000 ตัน ไนจีเรีย 250,000 ตัน จิบูตี 300,000 ตัน (สัญญา 3 ปีๆ ละ 100,000 ตัน ) สำนักงานข้าหลวงสหประชาชาติ 9,500 ตัน บาห์เรน 40,000 ตัน ทั้งนี้นายสมัคร ได้กำชับให้เร่งดำเนินการเจรจาโดยเร็ว
แหล่งข่าวจากที่ประชุม กขช. กล่าวว่า ในที่ประชุม กขช.กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานมี 7 ประเทศ คือ ไลบีเรีย ไนจีเรีย อิหร่าน จิบูตี บาห์เรน องค์การสหประชาชาติได้ติดต่อขอซื้อข้าวไทยแบบจีทูจี จึงขอให้ที่ประชุมพิจารณาโอนอำนาจในการขายข้าวต่างประเทศ กลับไปที่กระทรวงพาณิชย์เช่นเดิม เพื่อให้การดำเนินการต่อเนื่อง แต่นายสมัคร ระบุว่าช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทางด้านการเมือง ขณะเดียวกันได้มีคณะกรรมการระบายและจำหน่ายข้าวอยู่แล้ว จึงควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการไปก่อน
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การส่งออกข้าวขณะนี้แม้จะเป็นรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ถือเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เพราะสถานการณ์ราคาขณะนี้มีการแข่งขันสูง ความต้องการตลาดซบเซา เนื่องจากตลาดส่วนใหญ่ได้สั่งซื้อข้าวจำนวนมากเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันเวียดนามกำลังส่งออกข้าวในราคาที่ต่ำมาก เฉลี่ยข้าว 100% เอฟโอบี ตันละ 600-560 ดอลลาร์ ต่ำกว่าราคาข้าวไทยที่ขายเฉลี่ย 730-740 ดอลลาร์ การขายข้าวขณะนี้ลำบาก ยกเว้นกรณีขายในราคาที่ถูก ซึ่งเชื่อว่ารัฐดำเนินการเช่นนี้ไม่ได้ง่ายนัก
”การขายข้าวช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย เพราะตลาดไม่มีความต้องการ และยิ่งข่าวออกไปว่าไทยจะขายข้าว ตลาดก็จะซึมไปอีก ทั้งด้านราคาที่ไม่มีโอกาสขึ้น แต่จะลงเท่าใดก็ต้องรอดู แม้จะขายจีทูจีก็ต้องมีการแย่งตลาดปกติอยู่ดี ซึ่งทุกตลาดก็ต้องแข่งขันกับผู้ส่งออกรายอื่นๆ ในโลก เพราะแม้รัฐจะมั่นใจว่าความต้องการข้าวมากกว่า 2 ล้านตัน แต่ต้องไม่ลืมว่าไทยไม่ใช่ผู้ส่งออกรายเดียวในโลกนี้ “นายชูเกียรติ กล่าว
นายประสิทธิ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า สมาคมจะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ขยายระยะเวลาการรับจำนำข้าวนาปรัง ออกไปอีก 1 เดือน จากที่โครงการจะสิ้นสุดในเดือน ส.ค.เป็นสิ้นเดือน ก.ย. แทน ทั้งนี้เพราะปริมาณข้าวยังเหลือในมือชาวนาประมาณ 3 ล้านตันข้าวเปลือก หากรัฐบาลไม่เลื่อนโครงการรับจำนำออกไป จะส่งผลให้พ่อค้าเข้าไปกดราคารับซื้อจากเกษตรกร และจะเสนอให้รัฐบาลเตรียมรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ที่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือน พ.ย. นี้ด้วย เพื่อเป็นการประกันราคาข้าวให้เกษตรกร
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|