|
ญวนได้ทีถล่มราคาข้าวไทยไม่ยั้ง ผู้ส่งออกเหวอข้าว 2 ราคา ไชยาซ้ำเทสต๊อก 1.6 ล.ตัน.
|
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคม ผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า หลังจากนายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อนุมัติจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลปริมาณ 1.5 ล้านตัน จากที่เปิดประมูล 3.1 ล้านตัน ส่งผล ให้เกิดปัญหาราคาข้าวในตลาดแบ่งเป็น 2 ราคาต้นทุน โดยข้าวขาวที่ซื้อจากรัฐบาลราคา 12,000 บาทต่อตัน หรือ 380 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวที่ซื้อขายจริงในตลาดสูงถึง 16,000-17,000 บาทต่อตัน หรือ 550 เหรียญสหรัฐต่อตัน ต่ำกว่ากัน 170 เหรียญสหรัฐ ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลารับมอบและส่งออกอีก 2-3 เดือนจนถึง ต้นปี 2552 และหากรัฐบาลระบายสต๊อกข้าวที่เหลืออีก 1.6 ล้านตัน ย่อมจะส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวอย่างต่อเนื่องแน่นอน
หลังจากรัฐบาลระบายสต๊อกข้าวทำให้เวียดนามต้องเร่งลดราคาและระบายข้าวจากสต๊อก เพราะได้รับทราบข้อมูลว่าไทยเร่งระบายข้าวต้นทุนต่ำกว่า เวียดนามจึงได้ลดราคาส่งออกลงอีก โดยขายข้าว 5% ให้กับรัฐบาลมาเลเซียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาปริมาณ 1 แสนตัน ราคา 440 เหรียญสหรัฐต่อตัน ต่ำกว่าราคาข้าวไทย 150 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งจะยิ่งกระทบต่อปริมาณการส่งออกในเดือนพฤศจิกายน คาดว่าจะเหลือเพียง 4.5 แสนตัน จากเดือนก่อน 6.2 แสนตัน ถือว่าเป็นปริมาณที่ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี จากปกติต้นฤดูผลิต (พ.ย.-ธ.ค.) จะเป็นช่วงที่การส่งออกข้าวสูงสุด ผู้ส่งออกได้ชะลอการซื้อข้าวในตลาดแล้ว เพราะไม่มีใครจะเสี่ยงเก็บสต๊อกข้าวปริมาณมาก
ช่วงต้นปี 2552 อาจจะต้องมีการ ประเมินเป้าหมายการส่งออกใหม่จาก เป้าหมายเดิมที่วางไว้ 8.5 ล้านตัน เพื่อให้สอดคล้องปัจจัยความต้องการบริโภค และปริมาณผลผลิต (ดีมานด์-ซัพพลาย) โดยปริมาณผลผลิตทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ทั้งจากประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้า จาก 430 เป็น 435-437 ล้านตัน ในส่วนผลผลิตของไทยปี 2552/2553 เพิ่มขึ้น 5-7% เป็น 24.3 ล้านตัน จาก 23.1 ล้านตัน เป็นผลจากราคาข้าวในปีนี้จูงใจให้ประเทศต่างๆ เร่งเพิ่มผลผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศผู้นำเข้าเร่งเพิ่มผลผลิต ประกอบกับปริมาณ สต๊อกข้าวเหลือค้างมาก จากการที่ก่อนหน้านี้ต่างเร่งนำเข้าป้องกันวิกฤตอาหารโลก ทำให้คาดว่าปริมาณการค้าข้าวโลกจะปรับลดลงเหลือ 28.5 ล้านตัน จาก 30 ล้านตัน
ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น โดยจะกลับไปแข่งขันด้วยราคา เพราะผู้ส่งออก เท่าเดิม ผู้ซื้อลดปริมาณซื้อลง โดยเฉพาะฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียซึ่งมีข้อมูลว่า ปริมาณข้าวมากจะลดการนำเข้า ซึ่ง 2 ตลาดนี้เป็นตลาดข้าวหลักของเวียดนาม อีกทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกจะทำให้นำเข้าปริมาณเท่าที่จำเป็น ลดการสต๊อก หาก 2 ประเทศลดการสั่งซื้อ ทางเวียดนามอาจจะนำข้าวส่วนเกินนี้ออกมาขายในตลาดแข่งกับไทย และอินเดียอาจจะกลับมาส่งออกข้าวอื่นที่ไม่ใช่บาสมาติ ประมาณ 2.3-2.4 ล้านตัน หลังเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2552 ซึ่งจะกระทบกับปริมาณการส่งออกข้าวนึ่งซึ่งมีสัดส่วน 28% ของยอดส่งออกข้าวไทย เพราะอินเดียเคยส่งออกสูงถึง 6 ล้านตัน และถูกกว่าไทย 100 เหรียญสหรัฐ
ส่วนตลาดส่งออกข้าวมีแนวโน้มปรับลดลง คือมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เพราะปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น และเพิ่งจะนำเข้าจากเวียดนาม ส่วนตลาดตะวันออกกลางโดยเฉพาะอิหร่านซึ่งประสบปัญหาด้านการชำระเงิน เพราะธนาคารไทยไม่รับแอล/ซี หลังจากอิหร่านถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐ ทำให้ยอดส่งออกเหลือเพียงไม่กี่หมื่นตัน จากแต่ละปีที่จะนำเข้าจากไทย 6-7 แสนตัน จากปริมาณการนำเข้าทั้งปี 1 ล้านตัน โดยหันไปนำเข้าจากปากีสถานซึ่งมีพรมแดน ติดกัน และจากเทรดเดอร์ข้าวในดูไบ ไทยจึงมีโอกาสสูญเสียตลาดข้าวนี้ไปถาวร
"แนวโน้มราคาข้าวลดลงแน่นอน ไม่มีโอกาสถึงตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐ แค่ตันละ 600-700 เหรียญสหรัฐยังลำบาก เพราะธัญพืชชนิดอื่นปรับลดลงมากกว่าข้าวอีก หลังราคาน้ำมันลดลง" นายชูเกียรติกล่าว
์ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
|
|
|
|
|
© Thai Rice Exporters Association
37 Soi Ngamduplee , Rama 4 Road , Toongmahamek , Sathorn District , Bangkok 10120 ,
Tel. 0-2287-2674-7 , 0-2287-2663-4 , Fax : 0-2287-2678
E-mail : contact@riceexporters.or.th or reat@ksc.th.com
Copyright © 2008 All rights reserved by Thai Rice Exporters Association.
|
|
|