นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ผู้ส่งออกข้าววิตกกังวลจากการที่พนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) หยุดงาน และอาจทำให้การดำเนินธุรกิจผ่านท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบังมีปัญหา แม้ว่า ท่าเรือแหลมฉบังจะเป็นของเอกชน แต่สิ่งอำนวยความสะดวกจากท่าเรือกรุงเทพมาท่าเรือแหลมฉบังก็จะเกิดปัญหาเช่นกัน
นายชูเกียรติ มองว่า หากหยุดกิจกรรมการขนส่งไม่ว่าจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ก็ต้องส่งผลกระทบต่อการค้าและสร้างภาพพจน์ไม่ดีต่อประเทศไทย โดยปกติแต่ละวันจะส่งออกข้าวผ่านท่าเรือกรุงเทพเฉลี่ยต่อวัน 20,000 ตันขึ้นไป หากพนักงาน กทท.หยุดให้บริการ เท่ากับไม่สามารถส่งออกข้าวให้กับประเทศคู่ค้าได้ก็จะมีปัญหา ยิ่งหากหยุดนานก็จะมีปัญหามากและสูญเสียเงินมหาศาล ลูกค้าจะไม่มั่นใจฉีกสัญญาไม่ซื้อข้าวไทยทันที เท่ากับไทยต้องสูญเสียรายได้และภาพพจน์ จึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายถอยคนละก้าว เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไป และไม่อยากให้สถานการณ์บานปลาย เพราะขณะนี้สายตาต่างชาติมองประเทศไทยมีปัญหา ยิ่งเกิดเหตุการณ์รุนแรงก็จะเสียต่อภาพพจน์ประเทศมากขึ้น
“ขณะนี้ยังมองไม่เห็นถึงทางออกของปัญหา แม้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจลาออกหรือยุบสภา ก็จะเกิดสูญญากาศทางการเมืองและการบริหารประเทศหยุดชะงัก ภาคเอกชนและคู่ค้าก็จะไม่เชื่อมั่น จึงอยากเรียกร้องแต่ละฝ่ายควรเห็นแก่ประเทศชาติและประชาชน” นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายชูเกียรติ กล่าวว่า เท่าที่ประเมินเบื้องต้น การส่งออกข้าวเดือนกันยายนคงไม่ถึง 600,000 ตัน จากปกติแต่ละเดือนมีการส่งออก 700,000-800,000 ตัน นอกจากนี้ข้าวไทยในตลาดโลกค่อนข้างมีปัญหา เนื่องจากราคาสูงกว่าเวียดนาม ทำให้การส่งออกแต่ละเดือนค่อนข้างลดลง สิ่งที่เห็นได้ชัดวันอาทิตย์ที่ผ่านมาไทยจะได้รับคำสั่งซื้อข้าวจากมาเลเซียเพิ่มอีก 100,000 ตัน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้มาเลเซียหันไปซื้อข้าวเวียดนามแทน ประกอบกับหากเกิดสูญญากาศทางการเมือง สิ่งที่จะตามมา คือ โครงการเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปีในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า หากมีรัฐบาลรักษาการ การกำหนดจำนำข้าวเปลือกนาปียังไม่รู้ทิศทางว่าจะมีอัตราเท่าใด เพราะเกษตรกรกับโรงสีข้าวต้องการราคารับจำนำและราคาขายค่อนข้างสูง ขณะที่ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ต้องประสบปัญหาการชะลอตัวของราคาข้าวในตลาดโลก คงไม่สามารถให้ราคารับซื้อจากโรงสีในราคาสูง ภาครัฐจึงต้องกำหนดกรอบให้ชัดเจน โดยเหลือระยะเวลาอีก 2 เดือนที่ข้าวเปลือกนาปีจะออกสู่ตลาดและปีนี้มีปริมาณสูงถึง 23 ล้านตันข้าวเปลือก จึงเป็นสิ่งท้าทายการทำงาน หากไม่มีรัฐบาลหรือรัฐบาลรักษาการจะต้องตอบโจทย์ดังกล่าว
ที่มา สำนักข่าวไทย
|