นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวคิดของ นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี ในการซื้อข้าวจากเวียดนาม ว่า ถ้าทำได้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเป็นการดึงราคาจำหน่ายข้าวของไทยให้สูงขึ้นได้ หรือเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้กำหนดราคาขายข้าวในตลาดโลกได้ แต่ยังไม่ได้มีการหารือร่วมกับนายโอฬาร ส่วนการเปิดโครงการรับจำนำข้าวนาปีไปแล้วเมื่อวันที่ 1 พ.ย ที่ผ่านมา ยังมีชาวนานำข้าวที่เข้ามารับจำนำจำนวนน้อย เนื่องจากบางพื้นที่ยังไม่มีผลผลิตออกมา ทำให้ขณะนี้มีการเปิดโรงสีรับจำนำข้าวเพียง 18 แห่ง จาก 670 แห่ง แบ่งเป็น นครปฐม 8 โรงสี นนทบุรี 3 โรงสี ลพบุรี 4 โรงสี ชัยนาท 1 โรงสี เชียงใหม่ 1 โรงสี และ อุทัยธานี 1 โรงสี

"คาดว่าผลผลิตข้าวส่วนใหญ่จะออกมาประมาณกลางเดือนนี้ และโรงสีที่เข้าร่วมโครงการก็จะเปิดให้ครบทั้ง 670 แห่ง ได้ภายในสิ้นเดือนนี้ โดยเป็นโรงสีที่ขึ้นบัญชีกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) จำนวน 491 แห่ง และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จำนวน 159 แห่ง" นายไชยากล่าว

นายไชยา กล่าวต่อว่า สำหรับการระบายข้าวในสต๊อกของรัฐนั้น เบื้องต้นจะระบายข้าวทั้งสต๊อกเก่าและใหม่รวม 3.1 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวในสต๊อกเดิม 2.1 ล้านตัน และของใหม่อีก 1 ล้านตัน โดยจะเป็นการจำหน่ายต่างประเทศทั้งหมด ยกเว้นข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมจังหวัด และข้าวหอมปทุมธานี ซึ่งเป็นข้าวที่คนไทยนิยมรับประทาน จะจำหน่ายในประเทศไทย โดยกำหนดให้เป็นการยื่นเสนอราคาเข้ามาวันที่ 5 พ.ย. นี้

นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง กล่าวถึงกรอบและหลักเกณฑ์การรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 51/52 และผลผลิตทางการเกษตร ว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเป็นผู้กู้เงินเองทั้งหมดจำนวน 1.1 แสนล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย 4 หมื่นล้านบาท ธนาคารออมสิน 4 หมื่นล้านบาท ธนาคารทหารไทย 1.5 หมื่นล้านบาท และธนาคารนครหลวงไทยอีก 1.5 หมื่นล้านบาท ในกรอบระยะเวลา 1 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยที่ เอ็มแอลอาร์-2% หรือประมาณ 5-5.25% โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันและรับผิดชอบอัตราดอกเบี้ยรวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดคาดประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งในวันที่ 4 พ.ย.นี้ จะเสนอแผนการกู้เงิน

ที่มา ข่าวสด