นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการข้าวครบวงจร ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้เพิ่มปริมาณรับจำนำข้าว ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2551 จากเดิมที่ตั้งเป้าปริมาณการรับจำนำที่ 2.5 ล้านตัน ให้เพิ่มเป็น 3.5 ล้านตัน ส่วนระยะเวลาการรับจำนำยังเหมือนเดิม คือ วันที่ 15 มิ.ย. 2551 ถึงวันที่ 30 ก.ย.2551

พร้อมกันนั้น ที่ประชุมยังเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาโครงการ หรือ การปิดบัญชีโครงการ ซึ่งเดิมกำหนดให้ปิดบัญชีโครงการวันที่ 31 ธ.ค. 2551 ให้ขยายระยะเวลาปิดบัญชีโครงการเป็นวันที่ 31 มี.ค. 2552

ทั้งนี้ การขยายปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือก ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายเรื่องดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายในการเช่าสถานที่เก็บข้าวสาร ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้เพิ่มค่าใช้จ่ายในโครงการจาก 1,132.17 ล้านบาท เป็น 3,470.17 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2,338 ล้านบาท ขณะเดียวกันได้เร่งรัดให้ระบายสต็อกข้าว 2.1 ล้านตัน แบบรัฐต่อรัฐ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการรายงานว่า จากสถานการณ์ไม่สงบทางการเมือง ทำให้ตัวแทนรัฐบาลมาเลเซียยกเลิกกำหนดเยือนไทยเพื่อเจรจาขอซื้อข้าวจากไทย ทำให้ไทยต้องส่งตัวแทนไปเจรจากับมาเลเซีย ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องขยายปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกฯ เนื่องจากปีนี้มีเกษตรกรหันมาปลูกข้าวมากขึ้น เพราะเห็นว่าราคาดี ส่วนการขยายระยะเวลาการปิดบัญชีโครงการนั้น เพื่อให้คณะกรรมการจัดจำหน่ายฯมีระยะเวลาในการระบายข้าวเพิ่มขึ้น

นายเอ็นนู ระบุว่า ตั้งแต่ 15 มิ.ย. จนถึงปัจจุบันมีเกษตรกรนำข้าวเปลือกมาจำนำในโครงการแล้ว 2.2 ล้านตัน แต่หากเพิ่มปริมาณการรับจำนำข้าวเป็น 3.5 ล้านตัน ธ.ก.ส.ต้องเตรียมเงินสำรองเพิ่มอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเร่งรัดให้มีการระบายข้าวเก่าในสต็อกของรัฐ 2.1 ล้านตัน เพื่อจะได้นำเงินมาคืนหนี้ ธ.ก.ส. และไม่ทำให้เงินจม ขณะที่การระบายข้าวนั้นนายกฯย้ำว่าให้ระบายข้าวแบบจีทูจี เพื่อไม่ให้ไปแย่งตลาดเอกชน

นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า สศก.ได้ประเมินสถานการณ์ผลผลิตข้าวในปีนี้ คาดว่ามีข้าวนาปรังถึง 8 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มจากคาดการณ์เดิม 2 ล้านตัน ขณะที่ข้าวนาปีคาดว่าจะมีปริมาณ 25 ล้านตัน เพิ่มจากการคาดการณ์เดิม 2 ล้านตัน รวมปริมาณเพิ่มขึ้นจากปกติ 4 ล้านตันหรือประมาณ 2.5 ล้านตันข้าวสาร เนื่องจากราคาจูงใจ แต่มีความเป็นไปได้ที่ผลผลิตมากทำให้ราคาข้าวตกต่ำลง

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ