แหล่งข่าวกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้เปิดประมูลข้าว เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2551 ปริมาณรวม 1 ล้านตัน และนายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้อนุมัติขายข้าวให้กับผู้ส่งออก 1 วัน ก่อนพ้นตำแหน่ง เนื่องศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค

ทั้งนี้ ผู้ส่งออกที่ได้รับการจัดสรรมากที่สุด ในส่วนข้าวขาวเพื่อส่งออก ได้แก่ บริษัท พงษ์ลาภ จำกัด ปริมาณ 2.8 แสนตัน มูลค่า 3.7 พันล้านบท รองลงมา คือ บริษัท ข้าวไชยพร ปริมาณ 2.65 แสนตัน มูลค่า 3.4 พันล้านบาท และบริษัท แคปปิตอลไรท์ จำกัด ปริมาณ 1.25 แสนตัน มูลค่า 1.6 พันล้านบาท

ส่วนข้าวหอมมะลิเพื่อขายในประเทศ หรือส่งออกปริมาณ 1.9 แสนตัน มูลค่า 3.2 พันล้านบาท ได้แก่ บริษัท ไชยพร ปริมาณ 3.7 หมื่นตัน มูลค่า 1.3 พันล้านบาท บริษัท พงษ์ลาภ ปริมาณ 3.28 หมื่นตัน มูลค่า 536 ล้านบาท และบริษัท นครหลวงค้าข้าว ปริมาณ 2.44 หมื่นตัน มูลค่า 778 ล้านบาท

แหล่งข่าว กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายไชยาได้เซ็นอนุมัติการขายข้าว ให้กับเอกชนที่เปิดให้ยื่นซองเสนอราคา ซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาลที่เปิดประมูลครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา ปริมาณที่อนุมัติให้ระบายออกประมาณ 1 ล้านตัน จากที่เปิดประมูลประมาณ 1.37 ล้านตัน ราคาเฉลี่ยข้าวขาวนาปรังขายได้ประมาณตันละ 1.6-1.7 หมื่นบาท ข้าวขาว 25% ได้ราคาตันละประมาณ 8-9 พันบาท

ทั้งนี้ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ได้รับพิจารณาให้ซื้อข้าวในครั้งนี้ด้วย โดยสามารถได้รับการจัดสรรข้าวขาวปริมาณ 2.5 หมื่นตัน มูลค่า 369 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ บริษัทดังกล่าวไม่สามารถมาทำสัญญาซื้อข้าวได้ ตามเงื่อนไขระยะเวลาที่องค์การคลังสินค้ากำหนด ขณะที่ผู้ซื้อรายอื่นมาร่วมทำสัญญาโดยพร้อมเพรียงกัน

สำหรับการเปิดประมูลข้าวครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ในสมัยที่นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็น รมว.พาณิชย์ โดยในครั้งแรกเปิดประมูล 3.1 ล้านตัน อนุมัติขาย 1.5 ล้านตัน

การขายข้าวในยุคของนายไชยา ดำเนินการแบบเร่งรัดเป็นอย่างมาก มีผู้ส่งออกหลายรายออกมาตั้งข้อสังเกตทั้งในด้านการยื่นซอง การเปิดซอง ที่ไม่เปิดให้มีการแข่งขันอย่างเต็มที่

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ