นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551/2552 จังหวัดนครปฐม ว่า จนถึงขณะนี้มีจำนวนโรงสีที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น และมั่นใจว่าจะมีจำนวนโรงสีเพียงพอต่อความต้องการของชาวนา

แหล่งข่าวจากสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มโรงสีภาคกลางจำนวนกว่า 50 โรง ได้ทำหนังสือถึงคณะอนุกรรมการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาล 2551/2552 ที่มีนายไชยา เป็นประธาน เพื่อขออนุมัติให้โรงสีภาคกลาง สามารถรับจำนำข้าวข้ามเขตไปภาคอีสานได้ ซึ่งกลุ่มโรงสีภาคอีสานกว่า 200 โรง ไม่เห็นด้วย เพราะจะเกิดปัญหาการปลอมปนข้าว หากรัฐบาลอนุมัติให้ขนย้ายข้าวหอมมะลิ จากภาคอีสานลงมาภาคกลาง

“กำลังมีขบวนการที่จะปลอมปนข้าวหอมมะลิ เพื่อฟันกำไรส่วนต่างจากโครงการรับจำนำ เพราะราคาข้าวหอมมะลิที่รัฐบาลแทรกแซงไว้อยู่ที่ตันละ 1.5 หมื่นบาท โดยมีการเตรียมข้าวหอมปทุมฯ ไว้รอปลอมปนกับข้าวหอมมะลิ ซึ่งจะได้กำไรส่วนต่างไม่ต่ำกว่าตันละ 2,000 บาท” แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้โรงสีภาคอีสานได้เรียกร้องให้สมาคมแสดงจุดยืนไม่ให้โรงสีภาคกลางข้ามเขตไปรับจำนำในภาคอีสาน เพราะหากมีการปลอมปน จะทำให้เสียชื่อเสียงข้าวหอมมะลิของไทย แต่หากสมาคมยังนิ่งเฉย ทางกลุ่มโรงสีภาคอีสานจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิก และก่อตั้งสมาคมใหม่ชื่อสมาคมผู้ผลิตข้าวหอมอีสาน

แหล่งข่าวโรงสีข้าวภาคกลาง กล่าวว่า ปกติการรับซื้อข้าวข้ามเขตดำเนินการอย่างเป็นปกติ เพราะพื้นที่ปลูกข้าวในภาคกลางมีมาก ขณะที่โรงสีที่จะรองรับไม่เพียงพอ แต่เมื่อมีโครงการรับจำนำขึ้น โรงสีที่เข้าร่วมโครงการจึงต้องทำเรื่องเพื่อขอข้ามเขตไปรับจำนำพื้นที่อื่น แม้ที่ผ่านมาจะดำเนินการได้เป็นปกติอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าโรงสีในภาคอีสานที่ส่วนใหญ่ติดแบล็คลิสต์กรณีปลอมปนข้าวและไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้จะทำให้ชาวนาในพื้นที่ภาคอีสานจำเป็นต้องขอข้ามเขต หากไม่ดูแลให้ใกล้ชิดจะเป็นสาเหตุการปลอมปนข้าวได้ภายหลัง

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การขอรับจำนำข้าวข้ามเขตต้องผ่านความเห็นชอบจากกรมการค้าภายใน ซึ่งจะพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป เพื่อจับตาได้อย่างใกล้ชิดป้องกันการปลอมปนข้าว ไม่ว่าจะเป็นกรณีการปลอมปนข้าวหอมมะลิกับข้าวชนิดอื่น และการปลอมปนข้าวขาว

นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า อนุกรรมการระบายข้าวได้เริ่มพิจารณาการเสนอซื้อข้าวสต็อกรัฐบาลที่โรงสีและผู้ส่งออก 36 ราย ยื่นซองเสนอราคา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้ เพื่อให้ทันกับการเตรียมพื้นที่โกดังรองรับข้าวนาปี

ทั้งนี้ เกณฑ์ในการพิจารณาระบายข้าว จะพิจารณาจากราคาที่เสนอ หากรายใดเสนอราคาสูงสุด อาจไม่จำเป็นต้องต่อรองกับรายอื่น ซึ่งการพิจารณาราคาที่เหมาะสมทั้งคุณภาพข้าวและการขนส่งประกอบด้วย รวมทั้งพิจารณาปริมาณเสนอซื้อ เบื้องต้นมีทั้งการเสนอซื้อปริมาณตั้งแต่หมื่นตัน จนถึงรายใหญ่ที่เสนอซื้อ 1-2 ล้านตัน

นายไชยา กล่าวถึงประเด็นการไม่เปิดซองโปร่งใสเหมือนการประมูลที่ผ่านมา ว่า หากบอกราคาเสนอซื้อ จะทำให้ตลาดรู้และกระทบต่อราคาตลาดให้ต่ำลงไปอีก เป็นเหตุผลทางการค้า ที่ไม่ต้องการให้ข้าวที่ได้จากโครงการข้าวนาปรังฯ ที่รับจำนำไว้ที่ตันละ 1.4 หมื่นบาท ได้รับผลกระทบมาก

”การเปิดซองเสนอราคาจะดำเนินการโดยคณะกรรมการระบายข้าวที่ประกอบด้วยข้าราชการระดับสูง ผมเชื่อว่าพวกเขาไม่กล้า ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส ผมถูกมองว่าล็อกสเปค ต้องบอกว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าใครต้องการอะไรแล้ว จะล็อกสเปคได้อย่างไร ทีแรกไม่คิดว่าจะมีคนสนใจซื้อ แต่นี้มีเข้ามาตั้งกว่า 30 ราย รายใหญ่ๆ ก็มีอย่างซีพี ก็เสนอซื้อ 5-6 แสนตันภายในสัปดาห์นี้ก็จะชัดเจนแล้วก็เรียกมาทำสัญญากันได้เลย” นายไชยา กล่าว

ส่วนกรณีที่มีบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งทราบกันว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด นั้น นายไชยา กล่าวว่า ต้องมีการสอบหนังสือบริคณห์สนธิและประวัติย้อนหลัง หากพบว่าสร้างความเสียหายต้องตัดสิทธิจากการประมูล

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ