นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาเสนอให้รัฐบาลใหม่ ทบทวนการประมูลขายข้าวในสต็อกรัฐบาล ที่นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ได้เซ็นอนุมัติขายข้าวก่อนพ้นตำแหน่ง เพราะเห็นว่าราคาค่อนข้างต่ำนั้น ตนกำลังให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลการระบายข้าว ได้จัดทำรายละเอียดและรายงานความคืบหน้า ในการขายข้าวค้างสต็อกทั้งหมด

“ต้องขอดูข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งที่ผ่านมา ก็ทำตามขั้นตอนถูกต้อง เราไม่มีอำนาจที่จะยกเลิกที่ได้อนุมัติไว้แล้ว และไม่อาจตอบได้ว่าจะทบทวนได้หรือไม่ แต่แม้จะเจรจาต่อรองขายข้าวล็อตหลัง ได้เงินเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 2,000 ล้านบาท แต่หากคำนวณการขายข้าวครั้งนี้ ต่ำกว่าราคารับจำนำเกือบ 10,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างรอข้อมูลการพิจารณาขายข้าวของ อคส. จึงยังไม่อยากระบุว่าการขายข้าวครั้งนี้ ทำให้รัฐขาดทุนมากน้อยเพียงใด” นายศิริพล กล่าว

แหล่งข่าวกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ภายหลังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นขั้วตรงข้าม อาจมีการทบทวนการระบายข้าว ที่นายไชยาได้อนุมัติไปแล้ว ทำให้ผู้ชนะประมูลเร่งทำสัญญาและวางเงินค้ำประกันกับ อคส.ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ตามกำหนด ซึ่งผู้ที่ประมูลข้าวได้ในครั้งแรกมาทำสัญญาครบหมดทุกรายแล้ว

ส่วนข้าวรัฐล็อต 2 ที่ได้รับการอนุมัติจากนายไชยา เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ทั้งๆ ที่ตามเงื่อนไขสามารถทำสัญญาได้ภายใน 10 วัน นับจากได้รับการยืนยันทางเอกสาร ก็มีมาทำสัญญาแล้วหลายราย จาก 16 รายที่ชนะการประมูล ขณะเดียวกัน ผู้ที่ประมูลได้ทำหนังสือขอรับมอบข้าวภายในเดือนธ.ค.นี้ เป็นส่วนใหญ่ด้วย เพราะวิตกว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลง

ข้าวที่ผู้ประมูลได้ครั้งนี้ มีราคาค่อนข้างถูกกว่าราคาตลาดถึงตันละ 3-5 พันบาท และเป็นราคาที่แข่งขันได้ในตลาดส่งออก ซึ่งการประมูลข้าวค้างสต็อกจำนวนเกือบ 4 ล้านตัน น่าจะไม่มีผู้ประมูลรายใดทิ้งสัญญา

แหล่งข่าวจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า ตามขั้นตอนการเปิดประมูลขายข้าวถือว่าทุกอย่างจบ เพราะมีการเปิดประมูล โดยให้ผู้ที่ต้องการข้าวยื่นประมูลเข้ามา มีการต่อรองเจรจาเพิ่มราคา และ รมว.พาณิชย์ก็ได้เซ็นอนุมัติขายข้าวไปแล้ว การยกเลิกการประมูลไม่สามารถทำได้ หาก อคส.ทำ ก็จะถูกเอกชนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ซึ่งก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน คือ ทำสัญญา แล้วให้ผู้ประมูลมาวางค้ำประกัน และขนข้าวออกไป

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการเปิดประมูลข้าวในครั้งนี้ รัฐบาลขาดทุนเป็นจำนวนมาก เพราะการขายข้าวครั้งแรกจำนวน 1.6 ล้านตัน รัฐบาลขาดทุนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เพราะเป็นการขายข้าวในราคาต้นทุนที่รับจำนำเข้ามา และไม่ได้ขายในราคาตลาดขณะนั้น ส่วนครั้งที่ 2 คาดว่าจะขาดทุนอีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพราะขายข้าวที่มีต้นทุนรับจำนำสูงมากในราคาต่ำ

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กรมได้ปรับลดเป้าหมายการส่งออกข้าวปี 2552 เหลือ 8.5-9.5 ล้านตันจากเดิม 9.5-10 ล้านตัน เนื่องจากสต็อกข้าวของโลก ยังมีปริมาณที่สูงจากปี 2551 ที่วิตกเนื่องการขาดแคลนข้าว ทำให้มีการซื้อข้าวเข้าเก็บในสต็อกเพิ่มขึ้น ขณะที่กำลังซื้อลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง

ทั้งนี้ประเมินว่าการค้าข้าวโลกปี 2552 จะลดลง 2.8% เหลือปริมาณ 28.25 ล้านตัน จาก 29.07 ล้านตัน ในปี 2551 ต่ำสุดในรอบ 5 ปี นับจากปี 2548 แต่ราคาเฉลี่ยส่งออก คาดว่าจะยังอยู่ที่ 500-600 ดอลลาร์ ซึ่งลดลงจากปัจจุบันเล็กน้อย และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในกลางปี 2552 หลังปริมาณ สต็อกลดลงและความต้องการซื้อเข้ามาอีกครั้ง เพราะผลผลิตข้าวในช่วงนี้จะลดน้อยลง

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ