นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้ออกระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการจัดสรรปริมาณข้าว เพื่อการออกหนังสือรับรองการส่งออกไปอียูประจำปี 2552 แล้ว แบ่งเป็นข้าวขาว 21,455 ตัน และข้าวหัก 52,000 ตัน ตามปริมาณที่อียูได้ตกลงยกเว้น หรือลดหย่อนภาษีนำเข้า โดยการส่งออกจะแบ่งเป็น 3 งวดๆ แรกส่งออก เดือน ม.ค. 2552 มีข้าวขาว 10,727 ตัน ข้าวหัก 36,400 ตัน งวดที่ 2 เดือน เม.ย. ข้าวขาว 5,364 ตัน ไม่มีข้าวหัก และงวดที่ 3 เดือน ก.ค. ข้าวขาว 5,364 ตัน และข้าวหัก 15,600 ตัน

เงื่อนไขการจัดสรรเหมือนกับปีก่อน โดยข้าวขาวจัดสรร 80% ของปริมาณ 21,455 ตัน ให้แก่ผู้ส่งออกที่มีประวัติการส่งออกข้าวขาวไปอียูในช่วง 3 ปีย้อนหลัง ส่วนที่เหลืออีก 20% จัดสรรให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่ลงทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวไว้กับกรม และในปี 2551 ส่งออกสูงกว่าปี 2550 ขณะที่ข้าวหักนั้น จัดสรรทั้ง 100% ตามปริมาณที่อียูลดหย่อนภาษี ทั้งนี้ ผู้ส่งออกที่ได้รับการจัดสรรไม่เกิน 50 ตัน สามารถโอนให้กับผู้ส่งออกรายอื่นได้ แต่ต้องส่งออกภายในเวลาที่กำหนด แต่หากพบว่าได้รับจัดสรรแล้วไม่ส่งออก ถือว่าเป็นผู้กระทำการที่เป็นผลเสียหายต่อการค้าระหว่างประเทศ

รายงานข่าวแจ้งว่า ปีนี้มีผู้ประกอบการค้าข้าวขอรับการจัดสรรโควตาข้าวไปอียูเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ มา อาจเป็นเพราะต้องการชดเชยการส่งออกที่คาดว่าชะลอลง จากภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของโลกที่ลดลง

นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลได้เริ่มเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2551/2552 ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.ถึงขณะนี้ได้มีเกษตรกรนำข้าวเปลือกมาจำนำแล้ว คิดเป็นวงเงิน 8 พันล้านบาท ทั้งนี้ ยอมรับว่าราคารับจำนำข้าวเปลือกกับราคาในตลาดยังต่างกันอยู่ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อตัน ที่ผ่านมา สามารถผลักดันให้ราคาตลาดปรับขึ้นมาเล็กน้อย อาทิเช่น ข้าวเปลือกเจ้า 100% รับจำนำ 12,000 บาทต่อตัน ราคาตลาดอยู่ที่ 9,000 บาทต่อตัน ได้เริ่มขยับขึ้นมาอยู่ที่ 10,500 บาทตัน ข้าวเปลือกเหนียวจำนำ 9,000 บาทต่อตัน แต่ราคาในตลาดอยู่ที่ 5,000-6,000 บาทต่อตัน ขณะนี้ ได้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 7,500-7,800 บาทต่อตัน ทำให้ราคาข้าวเปลือกในตลาดยังมีส่วนต่างกับราคารับจำนำของรัฐบาล 1,000-1,500 บาทต่อตัน และหลังจากวันที่ 15 ธ.ค.นี้ น่าจะมีข้าวเปลือกมาจำนำกับรัฐบาลมากขึ้น โดยเดือน ม.ค.ปีหน้า มีวงเงินประมาณ 30,000 ล้านบาท

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ