นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนได้ส่งวิธีการระบายข้าวสต็อกรัฐ โดยให้ผู้ส่งออกเสนอราคาซื้อตามราคาที่รัฐกำหนดแทนการเปิดประมูลเป็นการทั่วไป ให้คณะอนุกรรมการระบายข้าวของรัฐบาลพิจารณาแล้ว หากได้รับความเห็นชอบ คาดว่าจะสามารถหารือกับผู้ส่งออกและเปิดให้เสนอราคาได้ภายในส.ค.นี้
ข้าวที่จะนำมาระบายล็อตแรก คือ ข้าวสต็อกเก่าของรัฐตั้งแต่ปี 47-ปัจจุบัน ปริมาณรวม 2.1 ล้านตัน เพราะเป็นข้าวที่หมดภาระข้อผูกพันแล้ว ส่วนข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวนาปรัง 51 ปริมาณ 2 ล้านตันข้าวเปลือก จะระบายหลังจากนี้เพราะยังไม่สิ้นข้อผูกพันตามเงื่อนไขการรับจำนำ
ทั้งนี้ เงื่อนไขการเสนอซื้อ ต้องเป็นราคาที่รัฐกำหนด ขณะนี้อยู่ระหว่างการกำหนดราคาที่เหมาะสม โดยคิดราคาตลาดหักค่าเสื่อมรายปี แต่ราคาต้องไม่ต่ำหว่าที่รับจำนำเข้ามา และผู้ซื้อต้องนำไปเพื่อส่งออกเท่านั้น ป้องกันปัญหาการเวียนเทียนข้าวภายในจนทำให้ราคาตกต่ำ วิธีการดังกล่าวจะเป็นผลดี ในแง่การกำหนดราคาการซื้อขายได้และไม่กระทบกับราคาตลาด
ขณะที่วิธีการเปิดประมูลทั่วไป หากผู้ส่งออกเสนอราคาต่ำจนไม่เป็นที่น่าพอใจ ทำให้ต้องล้มการประมูล ซึ่งเสียเวลา ขณะที่รัฐต้องการระบายข้าวเพื่อให้โกดังว่างลง สำหรับรับจำนำข้าวนาปี ที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาด พ.ย.นี้ ทั้งนี้ราคารับจำนำข้าวนาปีที่จะเปิดรับจำนำ คาดว่าจะกำหนดราคาไม่ต่ำกว่าตันละ 1.5 หมื่นบาท
”ผมจะดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องสถานที่ ซึ่งวิธีการให้ผู้ส่งออกมาเสนอซื้อ จะสะดวกและโปร่งใสกว่า เพราะเสนอเงื่อนไขอะไรมาก็จะเปิดให้หมด ขณะที่การเปิดประมูล ถ้าผู้ส่งออกฮั้วราคากัน เราเห็นราคาต่ำก็ไม่เอา ล้มประมูลเสียเวลา วิธีการประมูลนี้ไม่ได้ผมคิดคนเดียวอนุกรรมการฯระบายข้าวต้องเห็นชอบก่อน ตอนนี้ส่งเรื่องไปแล้ว" นายไชยา กล่าว
ทั้งนี้ การทำสัญญาซื้อขายข้าวของรัฐ เบื้องต้นจะใช้หลักเกณฑ์การทำสัญญาเดิม เช่น การให้ค่าขนส่งออกจากโกดัง ขณะนี้องค์การคลังสินค้า (อคส.) กำลังพิจารณาอัตราค่าขนย้ายใหม่ ให้สอดคล้องกับค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น การกำหนดเงื่อนไขต้องส่งออกเท่านั้น ผู้ส่งออกที่จะเสนอราคา จะเปิดกว้างให้ทุกรายหากมีการเสนอซื้อซ้ำโกดังเดียวกัน จะต้องนำคำสั่งซื้อที่มีอยู่มาแจ้งและจะพิจารณาให้ผู้ที่มีคำสั่งซื้อในมือก่อน นอกจากนี้ รัฐจะจัดสรรคำสั่งซื้อข้าวผ่านระบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งขณะนี้มีอยู่ประมาณแสนตัน แบ่งให้กับผู้ส่งออกที่ซื้อข้าวจากรัฐด้วย
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|