นายชูเกียรติ โอภาสวงค์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า การที่เงินบาทแข็งค่าขณะนี้ถือเป็นอัตราที่สูงกว่าภูมิภาค ทำให้ความสามารถการแข่งขันด้านการส่งออกได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะการส่งออกข้าว เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม พบว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท จะทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าราคาตลาด 15 ดอลลาร์ต่อตัน
ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยต้องทำงานหนักขึ้น ต้องเพิ่มความระมัดระวังการรับคำสั่งซื้อ เนื่องจากหากเงินบาทผันผวน ทำให้ผู้ส่งออกประสบปัญหาขาดทุน ตลาดส่งออกข้าวไทยปีนี้จะตกไปอยู่ในมือเวียดนาม ส่งผลถึงเป้าหมายการส่งออกข้าวปีนี้ที่ 8.7 ล้านตันไม่เป็นไปตามเป้าหมายหากสถานการณ์เงินบาทยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งนี้ เวียดนามเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญ แต่มีอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ขณะที่ไทยมีอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนอย่างมาก ผู้ส่งออกต้องการให้เงินบาทมีเสถียรภาพ จึงอยากเรียกร้องให้ภาครัฐดูแล และไม่ให้เงินบาทแข็งไทยแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกันนี้
"เงินบาทมีการเคลื่อนไหวเกินกว่าเหตุ ทำให้ผู้ส่งออกต้องระมัดระวัง จะรับคำสั่งซื้อแต่ละทีก็ต้องดูให้ดี เช่น ผู้ซื้ออาจสั่งมาเป็นแสนตันก็ขอส่งแค่หมื่นตัน เผื่อว่าเงินบาทผันผวนหนัก จะได้เจ็บตัวน้อยหน่อย" นายชูเกียรติกล่าว
หวั่นบาทแข็งกว่าคู่แข่งกระทบส่งออกปีนี้
ทั้งนี้ หากสถานการณ์เงินบาทยังเป็นเช่นนี้ การส่งออกข้าวปี 2551 ก็จะมีปัญหาเพราะไทยไม่สามารถแข่งขันกับเวียดนามได้ เพราะราคาเวียดนามจะถูกกว่าไทย จึงคาดว่าตลาดหลายแห่ง เช่น การประมูลซื้อขายของฟิลิปปินส์ช่วงปลายเดือนนี้ ปริมาณ 5.5 แสนตัน ก็อาจตกเป็นของเวียดนามอีก เพราะปีนี้ เวียดนามเริ่มส่งออกข้าวแล้ว หลังจากที่ช่วงปลายปีก่อนห้ามการส่งออก นายชูเกียรติ กล่าวว่า สำหรับค่าขนส่งพบว่าจะเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงการส่งออกอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากมีแนวโน้มการเพิ่มค่าเฟด ขณะนี้ ไทยก็เสียเปรียบคู่แข่งในเรื่องค่าใช้จ่ายการขนส่งแล้ว เพราะประเทศเวียดนามมีกองเรือเป็นของตัวเอง ขณะที่ไทยต้องใช้บริการเรือในท้องตลาดที่มีการแย่งใช้จำนวนมาก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|