นายธีระพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการให้ธ.ก.ส.สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กระทรวงพาณิชย์ สำหรับรับซื้อข้าวเปลือกนาปรังโดยตรงจากชาวนา โดยจะรับซื้อข้าวเปลือก 2 ชนิด คือ ข้าวเปลือกเจ้า และข้าวเปลือกเหนียว
ส่วนวิธีการและแนวทางการรับซื้อนั้นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการหารือกันในรายละเอียดอีกครั้ง ส่วนการสนับสนุนด้านแหล่งเงินกู้ไม่มีปัญหา เพราะธ.ก.ส.มีสภาพคล่องเพียงพอ โดยมีการประเมินว่ารับซื้อข้าวเปลือก 1 ล้านตัน จะใช้เงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แต่เนื่องจากราคาข้าวเปลือกเฉลี่ยเพิ่มเป็น 1.4 หมื่นบาทต่อตัน ก็น่าจะใช้เงินไม่เกิน 1-2 หมื่นล้านบาท
นายธีระพงษ์ ระบุว่า ในสัปดาห์หน้า จะหารือกับนายปราโมทย์ วานิชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวไทยและเครือข่าย เพื่อเตรียมการรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา โดยธ.ก.ส.ได้เตรียมวงเงิน 2 พันล้านบาท สำหรับปล่อยกู้ให้โรงสี เพื่อเสริมสภาพคล่องในการรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวของชาวนา ตามราคาที่รัฐบาลกำหนด
พาณิชย์เน้นซื้อข้าวเหนียว
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้รัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ เข้าไปรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนา โดยกำหนดราคารับซื้อข้าวเปลือกเจ้าที่ราคา 1.4 หมื่นบาทต่อตัน และข้าวเปลือกเหนียวความชื้นไม่เกิน 15% ที่ราคา 9 พันบาทต่อตัน ข้าวเปลือกเหนียวความชื้นเกิน 30% ที่ราคา 7 พันบาทต่อตัน ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิ ที่ประชุมเสนอว่าไม่ควรรับซื้อ เพราะไม่ได้อยู่ในมือชาวนาแล้ว
ส่วนการดำเนินการ องค์การคลังสินค้า (อคส.) จะต้องหารือกับธ.ก.ส.เพื่อกำหนดแนวทางโดยเร็ว เน้นไปที่การรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวเป็นหลัก เพราะเป็นข้าวที่มีปัญหาในเรื่องความชื้น และถูกกดราคารับซื้อจากพ่อค้า โดยขณะนี้ คาดว่ามีข้าวเปลือกเหนียวอยู่ในมือชาวนา 2 แสนตัน เมื่อรับซื้อข้าวมาแล้ว จะส่งข้าวให้โรงสีนำไปอบและเก็บเอาไว้ ซึ่งจะมีค่าบริหารจัดการไม่มากนัก
การรับซื้อข้าวเปลือกครั้งนี้ รัฐบาลจะซื้อไม่มาก อาทิเช่น ข้าวเปลือกเจ้าราคาที่รัฐบาลกำหนดจะรับซื้อ 1.4 หมื่นบาทต่อตัน แต่ราคาที่โรงสีรับซื้อในขณะนี้อยู่ที่ 1.4-1.5 หมื่นบาทต่อตันแล้ว ขณะที่ข้าวเปลือกเหนียว ราคาได้ไต่ระดับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จาก 6 พันบาท เป็น 6.5-6.8 พันบาทต่อตัน และล่าสุด ราคาข้าวเปลือกเหนียว ที่ จ.กาฬสินธุ์ และ จ.เชียงราย ราคาเพิ่มขึ้นเป็น 7 พันบาทต่อตันแล้ว
"คาดว่าการเข้าไปรับซื้อข้าวเปลือกนาปรังจากชาวนาครั้งนี้ คงใช้เงินไม่มากนัก และส่วนใหญ่เป็นเงินทุนหมุนเวียนมากกว่า โดยมีแนวโน้มว่าข้าวเปลือกที่รัฐบาลรับซื้อไว้จะส่งออกทั้งหมด" นายยรรยงระบุ
ชาวนาแนะตั้งราคาสูงกว่าตลาด
นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า โครงการรับซื้อข้าวของรัฐบาลที่กำหนดราคารับซื้อข้าวเปลือกทั่วไปความชื้น 15% ตันละ 14,000 บาท เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่ควรทำ เนื่องจากปัจจุบันข้าวเปลือก ที่มีความชื้นต่ำ 15% ราคาในตลาดรับซื้อในราคาตันละ 14,000-14,500 บาทอยู่แล้ว ดังนั้น โครงการนี้จะไม่สร้างประโยชน์ใดๆ กับเกษตรกร อีกทั้งเป็นการบิดเบือนกลไกของตลาด
"โครงการรับซื้อข้าวของรัฐบาล ทางสมาคมชาวนารับรู้มาก่อนล่วงหน้า ที่กระทรวงพาณิชย์จะเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ดังนั้น เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา จึงเข้าพบอธิบดีกรมการค้าภายใน รวมทั้งเสนอความคิดเห็นในส่วนของสมาคม ว่า รัฐบาลควรตั้งราคารับซื้อข้าวในราคาตันละ 15,000 บาท เพื่อที่เกษตรกรจะขายข้าวได้ตันละ 12,000-13,000 บาท หลังจากถูกหักความชื้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณา" นายประสิทธิ์กล่าวและว่า
การที่นักวิชาการหลายฝ่ายแสดงความเห็นว่าเมื่อราคาข้าวสูงขึ้น จะต้องมีสักวันที่ราคาข้าวจะตกต่ำลง ซึ่งรัฐบาลควรจะรับฟังและหาแนวทางป้องกัน หากเข้ารับซื้อควรกำหนดราคาให้สูงกว่าตลาด เพื่อชี้นำตลาดให้รับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาสูงขึ้น หากยังกำหนดราคาประกันไว้เพียงตันละ 14,000 บาท จะเท่ากับว่าเกษตรกรจะขายข้าวได้เพียงตันละ 11,000-12,000 บาท หลังจากหักความชื้นเท่านั้น
ข้าวถุงธงฟ้าไม่ถึงมือคนจน
นายประสิทธิ์ ระบุว่า การดำเนินโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ส่วนใหญ่จะเอาความคิดของตนเองเป็นหลัก ไม่สอบถามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สุดท้ายเกษตรกรไม่ได้อะไร อาทิเช่น โครงการข้าวถุงฟ้า ที่รัฐบาลเปิดจำหน่ายไปตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา มีคนเข้าแถวซื้อจำนวนมากจำกัด 3 ถุงต่อราย แต่จากการสอบถามกลุ่มผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ ที่มาเสวนาที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ว่า หาซื้อข้าวถุงฟ้าไม่ได้เลย กลุ่มคนที่เข้าแถวแย่งซื้อเป็นชาวบ้านที่พ่อค้าข้าวจ้างมา เมื่อซื้อได้จะนำไปฉีกถุงเทใส่กระสอบ นำไปแบ่งขายในราคาสูงกว่า โครงการนี้จึงไม่สร้างประโยชน์อีกเช่นกัน
"เรื่องนี้รัฐไม่เคยรู้ และไม่รับรู้เพราะไม่เคยฟังเสียงชาวบ้าน ตอนนี้จุดที่จะหาซื้อข้าวถุงฟ้าได้ไม่มีแล้ว และข้าวถุงฟ้าไม่ได้อยู่ในมือคนกิน แต่อยู่ในมือพ่อค้ามากกว่า ถือเป็นการทำงานของรัฐที่ขาดข้อมูลข่าวสาร คิดเองทำเอง" นายประสิทธิ์กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีโครงการจัดหาปุ๋ยเคมีของกระทรวงเกษตรฯ ที่จะซื้อจากยูเครนจำนวน 2 หมื่นตัน มูลค่า 300 ล้านบาท ปัจจุบันชุมนุมสหกรณ์การเกษตรได้จัดสรรโควตาให้กับสหกรณ์ที่เป็นสมาชิกไปแล้ว อาทิเช่น สหกรณ์ที่ไทรน้อยได้รับจัดสรร 300 ตัน แบ่งให้สมาชิกครอบครัวละ 10 กระสอบ ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกรต้องซื้อเพิ่ม และปุ๋ยโครงการนี้ยุ่งยาก ต้องจ่ายเงินสด ขนส่ง และมีส่วนต่างจากปุ๋ยในตลาดเพียง 30 บาทเท่านั้น
นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม กรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) กล่าวว่า ที่ประชุม คชก.มีมติไม่เห็นชอบการเสนองบประมาณวงเงิน 205 ล้านบาท สำหรับใช้ในแผนบริหารจัดการผลไม้ปี 2551 ตามที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอ เนื่องจากรายละเอียดการดำเนินโครงการไม่มีความชัดเจน และส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เน้นด้านทำตลาดผลไม้ในตลาดต่างประเทศ ซึ่งควรเป็นบทบาทของกระทรวงพาณิชย์
ปชป.จี้"มิ่งขวัญ"แจงออเดอร์ข้าว
ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วานนี้ (15 พ.ค.) นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามสดนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เรื่องมาตรการและนโยบายในการแก้ปัญหาราคาข้าว ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา นายมิ่งขวัญ ระบุว่า มีคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศ 6.7 ล้านตัน จะเปิดเผยรายละเอียดในสัปดาห์นี้ แต่ก็ยังไม่เปิดเผย จึงต้องการให้บอกรายละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ชาวนา
นอกจากนี้ ในส่วนของมติครม.ที่จะให้กระทรวงพาณิชย์รับซื้อข้าวที่จะออกมา 6.5 ล้านตัน ในราคา 1.4 หมื่นบาทต่อตัน หากซื้อแค่ครึ่งเดียว 3.2 ล้านตัน คิดเป็นเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท เงินจำนวนนี้จะมาจากไหน
นายจุติ ถามต่อไปว่า การทำข้าวถุงราคาถูกออกจำหน่ายราคา 120 บาทต่อ 5 กิโลกรัม ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 170-180 บาท โดยต้นทุนการผลิตของกระทรวงพาณิชย์อยู่ที่ 84 บาทต่อถุง ทำให้กระทรวงพาณิชย์มีกำไร 35 บาทต่อถุง จึงอยากทราบว่าทำไมกระทรวงพาณิชย์หากำไรจากคนจน และจะดำเนินการอย่างนี้ต่อไปหรือไม่ สามารถลดราคามาเหลือ 90-100 บาทได้หรือไม่
มิ่งขวัญยันซื้อข้าวบางส่วน
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า การซื้อข้าวจากชาวนา เป็นมติของครม. ที่จะซื้อข้าวในราคาตันละ 1.4 หมื่นบาท แต่ไม่ได้ซื้อทั้งหมด เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำลายอุตสาหกรรมข้าว อย่างไรก็ตาม การพิจารณาจะสร้างความสมดุล ทั้งชาวนา พ่อค้า ผู้บริโภค ดังนั้น จึงไม่ได้ใช้เงินถึง 4-5 หมื่นล้านบาทซึ่งมากไป ส่วนจะหาเงินมาจากไหน กระทรวงการคลังจะเป็นผู้หาวิธีการ
ส่วนการส่งออกข้าวไปต่างประเทศ นายมิ่งขวัญ ชี้แจงว่า ที่เคยบอกไว้ว่า มีผู้มาติดต่อแต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดนั้น ไม่ได้มีเงื่อนงำอะไร เพียงแต่ยังไม่ได้เซ็นสัญญา เกรงจะกระทบความสัมพันธ์ต่างประเทศ มีบางประเทศขอไว้ว่าอย่าเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ามีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศจริง และจะทยอยส่งไป โดยจะเปิดเผยรายละเอียด หลังจากได้เซ็นสัญญาซื้อขายแล้ว
ส่วนการทำข้าวถุงราคาถูกจำหน่ายให้กับประชาชน มีหลักการ 2 ข้อ คือ 1. ไม่มุ่งสร้างกำไร และ 2. เป็นไปด้วยความโปร่งใส ทั้งนี้ เหตุผลที่ไม่ขายข้าวราคา 80 บาทต่อถุงตามราคาต้นทุน ขณะที่ราคาขายข้าวอยู่ที่ 190-200 บาท จะทำให้อุตสาหกรรมข้าวถุงประเทศไทยจะล่มสลาย และที่ขาย 120 บาท และมีส่วนต่างขึ้นมา เราจะใช้ทฤษฎีทยอยซื้อทยอยขาย คือนำเงินไปซื้อข้าวจากเกษตรกรมาสีเก็บแล้วทำข้าวถุง
"สิ่งที่คณะกรรมการข้าวถุงจะต้องทำ คือ นำเงินที่ได้ทั้งหมดซื้อข้าวมา นำมาถัวราคาจนกว่าจะถึงสิ้นปี เพื่อให้ได้ราคาถัวเฉลี่ยที่เหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่า ล็อตแรกจะมีกำไร แต่หลังจากนั้น เขาจะขายขาดทุน เพื่อไม่ให้ราคาเขย่งกันมาก นี่คือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น" นายมิ่งขวัญกล่าว
โรงสีกลไกหลักกู้เงินซื้อข้าวตัดตอนผู้ส่งออก
นายปราโมทย์ วานิชชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ตามมติของ กขช.ที่ให้ ธ.ก.ส.ทำหน้าที่ในการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อเข้าแทรกแซงราคาข้าวนั้นในวันที่ 24 พ.ค.นี้ ตนได้เตรียมหารือกับ ธ.ก.ส.เพื่อหาข้อสรุปการนำโรงสีคุณภาพดี เข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวกลางซื้อข้าวจากชาวนาในราคาที่รัฐกำหนด เบื้องต้นจะหารือถึงรูปแบบให้โรงสีกู้เงินจาก ธ.ก.ส.และนำเงินจำนวนดังกล่าวซื้อข้าวจากชาวนาเพื่อส่งมอบให้รัฐตามจำนวนที่รัฐต้องการเพื่อนำไปจำหน่ายให้ต่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐหรือ จีทูจี
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการทำงานจะมีรายละเอียดอย่างไร และธ.ก.ส.ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ปล่อยเงินกู้จะมีแนวทางคัดสรรลูกค้าอย่างไร ต้องหารืออีกครั้งซึ่งวิธีการจัดการลักษณะนี้ จะเหมือนการว่าจ้างโรงสีให้ไปทำหน้าที่กู้เงินแทนรัฐ หรือชาวนา เพื่อนำข้าวไปบริหารจัดการต่อไป
"โรงสีจะเหมือนแท็กซี่ ที่คุณจะว่าจ้างไปไหนก็ได้ ซึ่งคนที่จะว่าจ้างก็คือ ธ.ก.ส. ที่จะคัดเลือกว่าโรงสีไหนดี และว่าจ้างให้ไปหาข้าว เพื่อมาป้อนการตลาดที่กระทรวงพาณิชย์หาไว้ แต่หลักการนี้ไม่ใช่ว่าจะตั้งหน้าตั้งตาส่งออก แต่กระทรวงพาณิชย์จะทำหน้าที่บริหารจัดการราคาทั้งในและต่างประเทศให้เหมาะสมในยามจำเป็น" นายปราโมทย์ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุม กขช.ยังได้หารือถึงประเด็นว่าการขายข้าวผ่านจีทูจีว่า เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและใช้เป็นแนวทางที่จะเข้าไปทำตลาดช่วยเหลือเกษตรกรได้ทันเวลา เพราะรัฐจะหาตลาดให้เกษตรกรในทันที ที่กลไกตลาดไม่ทำงานหรือทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |