นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่เปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2551 / 52 ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมาพบว่า โรงสีที่เข้าโครงการรับจำนำบางส่วน ไม่สามารถแปรสภาพข้าว เนื่องจากคณะทำงานสีและแปรสภาพข้าว ไม่มีคำสั่งให้สีแปรสภาพข้าวจากปกติต้องสีแปรทุก 15 วัน ส่งผลให้โรงสีไม่รับจำนำข้าวเปลือกจากชาวนา เพราะอ้างว่าไม่มีสถานที่เก็บ ทำให้ชาวนาต้องขายข้าวตามราคาตลาดต่ำกว่าราคารับจำนำ

ข้าวเปลือกหอมมะลิขายได้ราคาเพียง 1.2 หมื่นบาท จากราคารับจำนำ 1.5-1.6 หมื่นบาท ส่วนข้าวเปลือกเจ้าขายได้ราคาเพียง 8-9 พันบาทต่อตันเท่านั้น ขณะที่ราคารับจำนำอยู่ที่ 1.18-1.2 หมื่นบาทต่อตัน โดยชาวนาไม่สามารถเก็บข้าวเปลือกไว้ได้ เพราะไม่มียุ้งฉาง และหากเก็บไว้เกิน 3 วันข้าวเปลือกก็จะเน่าเสียได้ ซึ่งองค์การคลังสินค้า(อคส.)ต้องแก้ปัญหาด้วยการสั่งสีแปรสภาพข้าวโดยเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. 2552 เป็นช่วงที่มีผลผลิตข้าวจำนวนมาก

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการโครงการรับจำนำข้าว ระบุว่า จากการลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่ภาคเหนือเพื่อตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551 / 52 พบว่ามีการกระทำที่ไม่โปร่งใส ในโครงการดังกล่าว ซึ่งมีผลให้วงเงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้โครงการจำนำข้าว 9.6 หมื่นล้านบาท ไม่ตกถึงมือชาวนาอย่างแท้จริง โดยรั่วไหลไปอยู่ในมือโรงสีเป็นเงินจำนวนมาก

"ขณะนี้มีโรงสีบางแห่งส่งรถ ออกตระเวนรับซื้อข้าวเปลือกของชาวนา ที่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่จะรับซื้อข้าวในราคาที่ต่ำกว่าราคารับจำนำอย่างข้าวหอมมะลิซื้อ 1.2 หมื่นบาทต่อตัน แถมกดราคาโดยอ้างความชื้น แต่ชาวนาต้องขายเพราะไม่มียุ้งฉางเก็บ หลังจากนั้นจะนำข้าวที่กว้านซื้อไว้เข้าโครงการที่รัฐบาลจำนำ 1.5-1.6 หมื่นบาทต่อตัน"แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกล่าวว่า โรงสีจะตกลงกับชาวนาแต่ละราย ให้มาลงชื่อว่าได้นำข้าวเข้าโครงการกับโรงสีแห่งนั้นๆไว้ จากนั้นโรงสีและเจ้าหน้าที่จะออกใบประทวนใช้เป็นหลักฐานขึ้นเงินกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) หลังจากได้เงินแล้ว จะคืนไปให้กับโรงสีและรับเป็นค่าหัวคิว เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากราคาข้าวที่ขายให้โรงสีก่อนหน้านี้ ซึ่งเงินที่รัฐบาลจัดสรรในโครงการจำนำข้าวตกอยู่ในมือโรงสีอย่างน้อย 2-3 พันบาทต่อตัน

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ