นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เขาได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดและคลังในส่วนขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว ที่ได้รับจากการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2551 เพื่อเตรียมพร้อมรับงานที่ดูแลเกี่ยวกับข้าวทั้งหมด คืนสู่กระทรวงพาณิชย์ เบื้องต้นมั่นใจว่าข้าวจะไม่ขาดจำนวน หรือมีการปลอมปน
นอกจากนี้ การตรวจคุณภาพข้าว เพื่อให้พร้อมสำหรับการระบายข้าวในสต็อกของรัฐ โดยข้าวสต็อกเดิมที่มีอยู่ 2.1 ล้านตัน มีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ขณะที่ข้าวจากโครงการรับจำนำนาปรังปี 2551 อีกประมาณ 4.5 ล้านตัน เมื่อตรวจสอบแล้วเสร็จ คาดว่าจะมีข้าวในสต็อกทั้งหมด 6.6 ล้านตันที่รอการระบายออก ก่อนเปิดโครงการรับจำนำข้าวนาปี 2551/2552 ที่กำหนดเปิดโครงการ 16 ต.ค.นี้ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้รับผิดชอบงานทั้งหมด
นายไชยา กล่าวอีกว่า จากการหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการน้ำมันถั่วเหลืองบรรจุขวด ขณะนี้ยังไม่มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันถั่วเหลืองตามที่ขอต่อกระทรวงพาณิชย์
เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดที่จำหน่ายในตลาดปรับลดลงมา ทำให้ส่วนต่างระหว่างน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มห่างกันมากขึ้น จึงเกรงว่าผู้บริโภคจะหันไปใช้น้ำมันปาล์มทดแทนน้ำมันถั่วเหลือง
นายเศรษฐสรร เศรษฐการุณย์ นายกสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าว กล่าวว่า ผู้ประกอบการน้ำมันถั่วเหลืองจะชะลอการปรับขึ้นราคาสินค้าในขณะนี้ เนื่องจากภาวะการแข่งขันในตลาดน้ำมันพืช ไม่เอื้ออำนวยให้ปรับราคา จากแนวโน้มราคาน้ำมันปาล์มปรับตัวลดลงซึ่งก็เป็นไปตามกลไกตลาด
ส่วนจะชะลอการปรับขึ้นราคาไปถึงเมื่อไหร่ต้องขอดูทิศทางราคาน้ำมันปาล์มและภาวะตลาดก่อน แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ยังไม่มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันถั่วเหลืองบรรจุขวด ตามมติของคณะกรรมการพิจารณาราคาแนะนำน้ำมันพืชที่อนุมัติให้ปรับขึ้นขวดละ 4.50 บาท หรือจาก 49.50 บาท เป็น 54 บาท เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มห่างในตลาดห่างกันถึง 10 บาท โดยราคาน้ำมันปาล์มในท้องตลาดขณะนี้จำหน่ายอยู่ที่ขวดละ 39-40 บาทเท่านั้น ขณะที่น้ำมันถั่วเหลืองจำหน่ายขวดละ 49.50 บาท เนื่องจากผลปาล์มดิบราคาตกต่ำตามภาวะตลาดโลก ทำให้ขณะนี้ยอดขายน้ำมันปาล์มปรับเพิ่มขึ้น 7-10% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่แบ่งมาจากตลาดน้ำมันถั่วเหลือง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |