นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่ปรึกษาพาณิชย์ ในฐานะโฆษกประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาล ได้อนุมัติจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลแล้วในปริมาณรวม 1,593,731.32 ตัน มูลค่ารวม 20,120.32 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการประมูลแบ่งเป็นประมูลเพื่อจำหน่ายในประเทศ และเพื่อการส่งออก โดยเป็นข้าวหอมมะลิปริมาณ 315,425.57 ตัน มูลค่า 5,235 ล้านบาท, ข้าวหอมจังหวัด 167,321 ตัน มูลค่า 2,314 ล้านบาท, ข้าวหอมปทุมธานี 31,645.67 ตัน มูลค่า 441 ล้านบาท ให้กับผู้ส่งออกจำนวน 10 ราย เช่น ซี.พี.อินเตอร์เทรด ปริมาณ 3.55 แสนตัน, สยามอินดิก้า ปริมาณ 8.97 หมื่นตัน, นำแสงค้าข้าว 1.45 หมื่นตัน, โรงสีโชควรลักษณ์ 4.94 พันตัน, พิจิตร 2 ไรซ์ 2.05 หมื่นตัน และบริษัทอื่นๆ อีก 2.88 หมื่นตัน

ส่วนการประมูลเพื่อส่งออก แบ่งเป็นข้าวขาว 5% รวม 1,059,087.4 ล้านตัน มูลค่า 11,931 ล้านบาท, ข้าวขาว 10% ปริมาณ 11,564.2 ตัน มูลค่า 119.02 ล้านบาท, ข้าวขาว 15% ปริมาณ 52.8 ตัน มูลค่า 507,293 บาท และข้าวขาว 25% ปริมาณ 8,634 ตัน มูลค่า 77.6 ล้านบาท ให้กับผู้ส่งออก 12 ราย เช่น สยามอินดิก้า ปริมาณ 4.86 แสนตัน, พงษ์ลาภ 1.19 แสนตัน, ไชยพร 1.94 แสนตัน, เอเชีย โกลเด้นท์ ไรซ์ 1.24 แสนตัน และบริษัทอื่นๆ อีกรวม 1.54 แสนตัน โดยเตรียมแจ้งให้ผู้ที่ประมูลได้มาทำสัญญาภายใน 7 วัน

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การเปิดประมูลข้าวในสต๊อกรัฐบาลครั้งนี้ เดิมทีเปิดประมูลทั้งสิ้น 3 ล้านตัน แต่นายไชยาได้สั่งยกเลิกประมูลข้าวขาว 25% และนาปรังปี 2551 เป็นปริมาณรวม 1,506,268.68 ตัน เนื่องจากผู้เข้าร่วมประมูลเสนอราคาต่ำเกินไป

การอนุมัติขายข้าวในครั้งนี้ เป็นการขายในราคาต้นทุนที่รับจำนำเข้ามา เป็นการขายโดยไม่คำนึงถึงราคาตลาดปัจจุบัน โดยต้นทุนรับจำนำข้าวหอมมะลิอยู่ที่ตันละ 1.8 หมื่นบาท ข้าวขาวตันละ 1.2 หมื่นบาท แต่ราคาตลาดขณะนี้ข้าวหอมมะลิตันละ 2.5 หมื่นบาท ข้าวขาวตันละ 1.8 หมื่นบาท ทำให้รัฐขาดทุนทันทีตันละ 6 พันถึง 1 หมื่นบาท แต่หากหักค่าเสื่อมสภาพของข้าวปีละ 10 เหรียญสหรัฐต่อตัน 3 ปีก็หักค่าเสื่อมรวมแล้วก็แค่ตันละ 1 พันบาท ราคาที่จำหน่ายได้ก็ควรจะสูงกว่านี้ โดยข้าวขาวควรมีราคาไม่ต่ำกว่าตันละ 1.6-1.7 หมื่นบาท ข้าวหอมมะลิตันละ 2.3-2.4 หมื่นบาท เท่ากับรวมแล้วรัฐขาดทุนจากการขายข้าวโดยไม่คำนึงถึงราคาตลาดปัจจุบันรวมแล้วประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยข้าวหอมมะลิจะขาดทุนรวมประมาณ 4 พันล้านบาท และข้าวขาวจะขาดทุนประมาณ 6 พันล้านบาท

ในการประมูลครั้งนี้บริษัทสยามอินดิก้าเป็นผู้ชนะการประมูลปริมาณสูงสุด ประมาณ 4 แสนตัน จากปริมาณเสนอซื้อเข้ามา 2.54 ล้านตัน แม้ว่าจะยกเลิกไม่ขายข้าวขาว 25% ให้ 3.4 แสนตัน แต่ยังมีข้าวชนิดอื่น เช่น หอมมะลิ ข้าวหอมจังหวัด ข้าวขาว 5% ส่วนบริษัทที่ได้รองลงมาคือ บริษัทไชยพร และแคปปิตอลในเครือนครหลวง เอเชีย โกลเด้นท์ ไรซ์ และ พงษ์ลาภ เฉลี่ยรายละประมาณ 1-2 แสนตัน ส่วนบริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรดได้ข้าวหอมมะลิมากที่สุด 3.6 แสนตัน โดยคาดว่ารัฐบาลจะได้กำไรจากการประมูล เพราะข้าวที่จำหน่ายส่วนใหญ่เป็นข้าวเก่า 2.1 ล้านตัน ซึ่งมีต้นทุนการรับจำนำต่ำมาก เพียง 6-7,000 บาทต่อตัน

ผลการประมูลครั้งนี้ ได้กระจายไปให้กับหลายบริษัท อาทิ ข้าวหอมมะลิ อนุมัติให้กับบริษัทวุฒิกวี, เจียเม้ง, ซี.พี.อินเตอร์เทรด, โรงสีไฟศรีกรุงลาดกระบัง, บริษัทโรงสีข้าวเจริญผล, นำแสงค้าข้าว และสยามอินดิก้า ส่วนผู้ชนะการประมูลข้าวหอมจังหวัด ประกอบด้วยบริษัทเอเชีย โกลเด้นท์ ไรซ์, พิจิตรโรงสีร่วมเจริญ 2 ไรซ์, นำแสงค้าข้าว, สยามอินดิก้า, ซี.พี. อินเตอร์เทรด และโรงสีโชควรลักษณ์รุ่งเรืองกิจ ส่วนผู้ชนะประมูลข้าวหอมปทุม คือ นำแสงค้าข้าว และ ซี.พี.อินเตอร์เทรด

ส่วนผู้ชนะประมูลข้าวขาว 5% ได้แก่ สยามอินดิก้า, แคปปิตอล, ไชยพร, เอเชีย โกลเด้นท์ ไรซ์, วิงออนไรซ์, พงษ์ลาภ, นครธนไรซ์, ไทยฟ้า (2511), นครสวรรค์ค้าข้าว และเจียเม้ง ส่วนข้าว 10% มีบริษัทพงษ์ลาภและเอเชีย โกลเด้นท์ ไรซ์ ส่วนข้าว 25% มีเพียงบริษัทนครสวรรค์ค้าข้าว ปริมาณเพียง 2,700 ตัน และบริษัทจีเอ็นไรซ์ เทรดดิง ซึ่งได้ 2,600 ตันเศษเท่านั้น

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ