นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยื่นจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ต่อสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองภายในสมาชิก 27 ประเทศ ป้องกันการลอกเลียนแบบ และผู้อื่นที่ไม่ได้อยู่ในชุมชนทุ่งกุลาร้องไห้ จะไม่สามารถนำชื่อ “ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้” ไปใช้ประชาสัมพันธ์สินค้าของตนเองได้ เพราะจะถือว่าเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของชุมชนทุ่งกุลาร้องไห้ทันที

นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญต่อการสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคอียู ให้รู้จักข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้มากขึ้น และเพิ่มมูลค่าทางการค้าด้วย เพราะหากไทยส่งออกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ต้องเป็นการส่งออกแบบบรรจุถุงแล้ว ระบุข้างถุงว่า เป็นข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ จากเดิมที่ส่งออกเป็นกองๆ ซึ่งไม่ ช่วยเพิ่มมูลค่า

ขณะเดียวกันกรมฯ กำลังเจรจากับร้าน เลอ โนต ซึ่งจำหน่ายขนมหวานชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส ให้นำสินค้าจีไอของไทย ไปเป็นส่วนผสมในการทำขนมหวาน และระบุในสูตรทำขนมด้วยว่าเป็นสินค้าจีไอจากไทย

“การจดทะเบียนจีไอข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ครั้งนี้ ถือว่าสินค้าแรกของไทยที่ยื่นจดในอียู คาดว่า อียูจะใช้เวลาพิจารณา 1-2 ปี และกรมฯยังมีเป้าหมายที่จะยื่นจดทะเบียนในปีต่อไปอีกหลายรายการ ล้วนเป็นสินค้าที่ไทยที่มีตลาดอยู่แล้ว เช่น ข้าวหอมมะลิ จ.สุรินทร์ กาแฟดอยตุง กาแฟดอยช้าง จ.เชียงราย สับปะรดภูแล จ.เชียงราย มะขามหวาน จ.เพชรบูรณ์ เมื่ออียูรับจดทะเบียนแล้ว จะทำให้ผู้บริโภครู้จักข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้และสินค้าไทยมากขึ้น เพราะจะมีการจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคอียูอย่างต่อเนื่อง” นางพวงรัตน์ กล่าว

นางพวงรัตน์ กล่าวอีกว่า กรมกำลังจัดทำแผนผลักดันการใช้ประโยชน์จากโครงการแปลงสินทรัพย์ทางปัญญาเป็นทุน เพื่อส่งเสริมธุรกิจใหม่ และประคองธุรกิจที่มีศักยภาพ แต่ขาดเงินทุน โดยยอมรับว่า ปัญหาของโครงการคือ รัฐบาลไม่ให้ความสนใจ ทั้งๆ ที่เป็นโครงการที่ช่วยผู้ประกอบการรายเล็กๆ ได้จริง ทำให้มีสถาบันการเงินเข้าร่วมโครงการไม่มาก

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ