นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ราคาข้าวของไทยที่ขยับตัวสูงขึ้นคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับราคาที่เกษตรกรพึงพอใจไปอีกระยะหนึ่ง ดูจากตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่เมืองชิคาโก สหรัฐฯ ราคายังอยู่ในระดับสูง เป็นผลมาจากผลผลิตข้าวเวียดนาม และอินเดีย ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ปริมาณข้าวจึงไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค แต่เนื่องจากเวียดนามมีศักยภาพในการปลูกข้าวสูงมาก และพันธุ์ข้าวของเวียดนามเป็นข้าวไวแสง หากมีน้ำเพียงพอสามารถทำนาได้ถึง 7 ครั้ง ใน 2 ปี ขณะที่ไทยจะทำนาได้มากที่สุดเพียง 5 ครั้งใน 2 ปี
ดังนั้น โอกาสที่เวียดนามจะฟื้นผลผลิตข้าวกลับมาในระยะเวลาสั้นจึงมีสูงมาก ซึ่งคาดว่าหากไม่มีผลกระทบจากภัยธรรมชาติเกิดซ้ำอีก ผลผลิตข้าวจะออกสู่ตลาดมากขึ้นจะเป็นผลให้ราคาข้าวลดลงได้ ชาวนาของไทยจะต้องเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อหนีตลาดข้าวของเวียดนามที่คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นในปีหน้า และรัฐบาลไทยเองก็ควรเร่งเจรจากับรัฐบาลเวียดนามจับมือกันกำหนดราคาข้าวทำข้อตกลงไม่ขายข้าวตัดราคากัน ซึ่งจะช่วยให้ราคาข้าวในตลาดโลกรักษาระดับไว้ได้ ไม่ตกต่ำจนสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวนาทั้งของไทยและเวียดนาม
“สถานการณ์ข้าวจะชัดเจนมากขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้าเนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวนาปรังของไทยและเวียดนามออกสู่ตลาด ซึ่ง สศก.จะวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อประเมินภาวะราคาข้าวในปลายปีนี้และปีหน้าอีกครั้ง ทั้งนี้ แม้ว่าราคาข้าวจะปรับตัวลดลง แต่คาดว่าราคาข้าวจะไม่ตกต่ำถึงระดับตันละ 5,000-6,000 บาท เหมือนช่วงที่ผ่านมา เพราะจากราคาน้ำมันและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น”
นายประเสริฐ โกศัลวิตร อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาข้าวที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้ ทำให้เกษตรกรต่างทยอยขายข้าวของตนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะข้าวนาปรังที่ขายแบบยกแปลง ดังนั้น กรมการข้าวจึงมีความเป็นห่วงว่าในฤดูกาลผลิตต่อไปเกษตรกรบางรายอาจจะประสบปัญหาขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวได้.
ที่มา ไทยรัฐ
|