www.riceexporters.or.th  
home about us members contact us FAQ link site map English Thai

ผู้ส่งออก-โรงสีเตือนรอบคอบ ดึงสต็อกข้าวรัฐขายราคาถูก


      นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ กรรมการสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ใช้นโยบายบริหารข้าวสต็อกของรัฐบาล 2.1 ล้านตัน โดยจะนำมาใส่ถุงขาย และเก็บเป็นสต็อกของรัฐบาล จำหน่ายถุงละ 5 กก. ขายให้กับประชาชนเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยกำหนดราคาเท่ากับต้นทุน คือ ราคาข้าวที่รับซื้อขณะนั้น ว่าเป็นแนวนโยบายที่ดี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในภาวะที่ราคาข้าวที่ตลาดสูง แต่ที่สำคัญรัฐควรจะกำหนดแนวการบริหารข้าวส่วนนี้ให้ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร

     ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาว่าปริมาณข้าวดังกล่าวจะถูกนำไปเวียนเทียนส่งออก ดังนั้นควรให้องค์กรคลังสินค้าเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการเอง เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคจริงๆ วิธีการจัดการเป็นเรื่องสำคัญ สต็อกข้าวรัฐ 2.1 ล้านตัน น่าจะช่วยผู้บริโภคได้ 6-7 เดือน หากการบริโภคในประเทศเฉลี่ยปีละ 9-10 ล้านตัน ปริมาณดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้

     นายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าว กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับกรณีที่จะนำข้าวในสต็อกรัฐบาลมาจำหน่ายราคาถูก เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคในประเทศ แต่วิธีการดำเนินการต้องรัดกุม อคส.ต้องดำเนินการเอง หากเป็นไปได้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ควรประกาศให้ประชาชนที่จะซื้อข้าวนำทะเบียนบ้านมาแสดงเจตจำนงในการซื้อข้าวแต่ละครอบครัว เพื่อให้ได้ข้าวราคาถูกบริโภคที่ทั่วถึง ซึ่งน่าจะช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยจริงๆ ยืนยันว่าประเทศไทยมีการขาดแคลนข้าวบริโภคแน่นอน ปัจจุบันคนไทยบริโภคข้าวคนละ 150 กก./ปี ซึ่งถือว่าไม่มาก

     นายนิพนธ์ กล่าวถึงราคาในตลาดโลกว่ายังมีแนวโน้มที่ราคาสูงขึ้น เนื่องจากตลาดโลกมีความต้องการข้าวสูง ประกอบกับประเทศผู้ผลิตเกิดภัยธรรมชาติ ในส่วนของอินโดนีเซียคาดว่าภายใน 1-2 เดือนจากนี้คงจะเกิดพายุหนักซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวนาปรังก็จะเสียหายได้ อินโดนีเซียจำเป็นต้องนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น

โรงสีหนุนนโยบายแยกข้าวเป็น 2 ตลาด

     นายวัฒนา รัตนวงศ์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า สมาคมเห็นด้วยกับแนวคิดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการแยกข้าวออกเป็น 2 ตลาด คือตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก โดยในส่วนของตลาดในประเทศจะใช้ข้าวที่อยู่ในสต็อกมาจำหน่ายในโครงการข้าวธงฟ้า ถือว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด เพราะจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคระดับล่าง สามารถเลือกซื้อข้าวในราคาย่อมเยาได้ ในขณะที่ผู้บริโภคในตลาดบนสามารถเลือกซื้อข้าวชนิดอื่นที่มีคุณภาพสูงกว่า โดยมีราคาเทียบเท่ากับราคาส่งออกที่ควรปล่อยลอยตัว เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้

     การปล่อยข้าวในสต็อกออกมาจำหน่ายในตลาด ควรดำเนินโดยหน่วยงานรัฐ หรือองค์การคลังสินค้า (อคส.) และควรกำหนดราคาไม่ให้ต่ำกว่าราคาตลาดมากเกินไป เพราะจะส่งผลให้กลุ่มยี่ปั๊ว ซาปั๊ว เข้ามากว้านซื้อแล้วส่งออก ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการให้ข้าวเหล่านี้ถึงกลุ่มผู้บริโภคภายในประเทศ ซึ่งกรณีที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดราคาไว้เบื้องต้นประมาณตันละ 12,000 บาท ต่ำกว่าราคาในตลาดประมาณ 1,000 บาทถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว

     สำหรับผลการตรวจสต็อกข้าวในโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำ ที่ระบุว่ามีข้าวบางส่วนหายไปนั้น ในความจริงแล้วไม่ได้ไปแต่อย่างใด เพียงแต่ทางโรงสียังไม่ได้สีส่งให้รัฐบาล ซึ่งในเรื่องนี้ อคส.จะต้องตรวจสอบหาข้อเท็จจริง โดยควรระบุวันส่งมอบข้าวให้ชัดเจน ส่วนราคาข้าวของไทยคาดว่าจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้าเพราะความต้องการข้าวของตลาดโลกยังมีมากในขณะที่เป็นช่วงการเริ่มฤดูกาลเพาะปลูกข้าวของเวียดนามและอินเดีย แต่หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่าราคาข้าวจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใด โดยต้องรอดูผลผลิตข้าวของทั้ง 2 ประเทศอีกครั้ง

มั่นใจราคาข้าวพุ่งยาวถึงปี 54

     นายพิสิษฐ์ สงวนกุลชัย เจ้าของบริษัท โรงสีข้าวทวีพัฒนา จำกัด อ.บางเลน จ.นครปฐม กล่าวว่า การแบ่งราคาข้าวเป็น 2 ตลาด เป็นแนวคิดที่ถูกต้อง ทันสมัยและมีวิสัยทัศน์ เพราะสต็อกข้าวที่รัฐบาลมีอยู่ ควรจะนำมาใช้ประโยชน์ยามที่ข้าวขาดแคลนในราคาที่เป็นธรรม

     ส่วนราคาส่งออกไม่น่าห่วง คาดว่าจากความต้องการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ ซาอุดีอาระเบีย การประกาศห้ามส่งออกข้าวของเวียดนาม อินเดีย และสต็อกข้าวของโลกที่ลดลงถึง 50% เป็นแนวโน้มที่บ่งชี้ได้ว่าราคาข้าวจะทะยานสูงขึ้น ซึ่งราคาข้าวของไทยในขณะนี้อยู่ที่ตันละ 12,000 บาทนั้นน่าจะอยู่ในระดับนี้จนถึงปี 2554

     "จากหลายปัจจัยที่จะทำให้ราคาข้าวของไทยสูงขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้ราคาส่งออกในช่วง 2 ปีนี้อยู่ในระดับสูงแน่ แต่หลังจากนั้นจะต้องระมัดระวังเพราะข้าวมีรอบการเพาะปลูกเร็ว และประเทศผู้ผลิตสามารถปรับตัวได้เร็วเช่นกัน แต่คาดว่าจากปัจจัยโดยรวมทั้งหมด หลังจากนี้ไปราคาข้าวของโลกไม่น่าจะตกต่ำถึงระดับตันละ 4,000-5,000 บาทแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรยิ้มได้อย่างจริงใจ" นายพิสิษฐ์ กล่าว

     นายสุวรรณ คธาวุธ นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่จะแบ่งข้าวออกเป็น 2 ตลาด เพราะจะทำให้คนไทยกินข้าวในราคาที่ถูก แต่การระบายข้าวจากสต็อกรัฐบาลควรดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบกับการส่งออกผู้ผลิตข้าวถุงหนุนรัฐทำข้าวถุงขายภายใน

ผู้ส่งออกชี้นโยบายข้าวเหมาะสม

     นายสุเมธ เหล่าโมราพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี อินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวว่า แนวทางที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดให้ชาวนาไม่จำเป็นต้องเร่งขายข้าวเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ราคาที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่ภาครัฐต้องการให้ชาวนามีรายได้มากขึ้น

     ทั้งนี้เชื่อว่า กลไกการไหลเวียนของข้าวในตลาด จะเป็นไปตามปกติเพราะชาวนาบางส่วน มีความจำเป็นต้องขายข้าวด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ต้องการเงินไว้ใช้จ่ายช่วงเทศกาลสงกรานต์ ต้องการนำเงินไปชำระหนี้ที่มีอยู่ และความจำเป็นที่ต้องขายข้าวให้โรงสี เพื่อสีแปรไม่ให้ข้าวเสื่อมสภาพหากทิ้งไว้นาน เพราะข้าวที่เก็บเกี่ยวในขณะนี้ หากทิ้งไว้นานจะมีความชื้นสูง เกิดปัญหาติดเหลืองทำให้คุณภาพต่ำขายไม่ได้ราคาดี

     ส่วนกลไกด้านการส่งออก มองว่าจะยังเป็นกลไกปกติที่ผู้ส่งออกที่มีอยู่ จะเป็นผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ เพราะความต้องการให้ตลาดโลกสูง ตลาดเป็นของผู้ขาย ผู้ส่งออกสามารถกำหนดราคาที่เหมาะสม ภายใต้เงื่อนไขการชะลอการขาย เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดด้านการกำหนดราคา ซึ่งแนวทางนี้จะสอดคล้องกับปริมาณข้าวที่อยู่ในประเทศพอดี

     ส่วนการนำข้าวในสต็อกของรัฐออกขาย ช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนผู้มีรายได้น้อย แต่รัฐบาลต้องกำหนดแนวทางการจัดจำหน่ายที่ดี ป้องกันไม่ให้พ่อค้าเหมาซื้อและนำไปขายต่อ

     นอกจากนี้ ปริมาณที่จะวางจำหน่ายกำหนดไว้ 10% ของการบริโภคในประเทศ 8-9 ล้านตันจะไม่กระทบต่อธุรกิจข้าวถุงที่มีอยู่ เพราะปริมาณการบริโภคในประเทศมีมากพอที่จะทำให้ธุรกิจยังสามารถจำหน่ายสินค้าได้ แต่ข้าวถุงของรัฐต้องเป็นไปเพื่อผู้มีรายได้น้อยจริงๆ

ส.ข้าวถุงหนุนรัฐขายข้าวราคาถูก

     นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า สมาคมสนับสนุนแนวคิดกระทรวงพาณิชย์ ในการนำสต็อกรัฐออกมาบรรจุถุงขายในราคาเป็นธรรม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ซึ่งมั่นใจว่าการดำเนินการของรัฐไม่กระทบกับผู้ประกอบการข้าวถุง เพราะเป็นการแทรกแซงตลาดเพียงส่วนน้อยและให้กับผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น

     "ขณะนี้ตลาดกำลังช็อกกับราคาข้าวที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดีที่รัฐปล่อยข้าวออกมา แต่ต้องมีวิธีการที่เหมาะสม ขายให้กับผู้ที่เดือดร้อนจริงๆ รายได้น้อยจริงๆ ในส่วนของผู้ผลิตข้าวถุงมีตลาดอยู่แล้ว เพียงแต่มีปัญหาต้นทุนสูง ต้องการให้รัฐอนุมัติปรับราคาพร้อมกับเจรจาห้างค้าปลีกให้คิดราคาเป็นธรรมกับผู้ผลิตข้าวถุง ซึ่งยอมรับว่าต้นทุนการผลิตสูงมากในขณะนี้" นายสมฤกษ์ กล่าว

"ยรรยง"ย้ำข้าวรัฐไม่แพงช่วยผู้มีรายได้น้อย

     นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า การกำหนดราคาต้นทุนข้าวถุงในส่วนของภาคเอกชน ไม่มีความซับซ้อนเพราะต้นทุนส่วนใหญ่ของสินค้าอยู่ที่ราคาข้าวที่ปรับตัวขึ้นลงตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตามกรมการค้าภายในได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ให้การกำหนดราคาขายเป็นไปด้วยความเหมาะสม

     ส่วนราคาข้าวถุงของรัฐที่จะออกจำหน่าย ก็จะใช้ราคาต้นทุนที่รัฐรับซื้อจากชาวนาในช่วงนั้นๆ รวมกับค่าเก็บรักษาในโกดัง และค่าบรรจุถุง ซึ่งเป็นต้นทุนที่ไม่มาก ทำให้มั่นใจว่าราคาที่จะวางจำหน่ายจะไม่สูง ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยสามารถรับได้ และสามารถช่วยให้ผู้บริโภคไม่ได้รับผลกระทบมากจากสถานการณ์ราคาข้าวสูงมากในขณะนี้

     "เรื่องต้นทุนข้าวถุงที่ขายอยู่ กรมไม่มีตัวเลข เพราะดูแล้วไม่ได้มีกระบวนการมากมายอะไร ซึ่งต้นทุนส่วนใหญ่ก็คือข้าว มีราคาตลาดที่ชัดเจนอยู่แล้ว" นายยรรยง กล่าว

ข้าวถุงเบนเข็มขายนอกดิสเคาท์สโตร์

     นายนายวัลลภ มานะธัญญา ผู้ผลิตข้าวสารบรรจุถุงยี่ห้อหงษ์ทอง เผยว่า การที่รัฐบาลนำข้าวออกมาจำหน่ายในโครงการธงฟ้าราคาถูกนั้น ถือเป็นมาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย ให้มีโอกาสในการบริโภคข้าวราคาถูกที่เหมาะสมแล้ว ส่วนสต็อกข้าวที่เหลือ รัฐบาลน่าจะนำออกไปจำหน่ายต่างประเทศในราคาสูง จะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากการจำหน่ายข้าว สมมติว่ารัฐบาลขายข้าว 1 ล้านตันในราคาตันละ 800 ดอลลาร์ รัฐบาลจะมีรายได้เข้ามา 2.4-3 หมื่นล้านบาท

     นายวัลลภ ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการข้าวถุงหลายราย หันมาขายสินค้าของตน นอกช่องทางโมเดิร์นเทรดกันมากขึ้น เนื่องจากการขายในโมเดิร์นเทรดนั้น ถูกบังคับให้ขายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพื่อดึงคนเข้ามาซื้อของในห้าง ดังนั้น ปีนี้ข้าวหงษ์ทอง จึงตัดสินใจขายข้าวในร้านค้าส่ง ร้านค้าย่อย และตลาดสดมากขึ้น 90% จากเดิม 60% โดยลดสัดส่วนในโมเดิร์นเทรดเหลือแค่ 10% จากเดิม 40%

ที่มา กรุงเทพพธุรกิจ

 


©
The Rice Exporters Association

37 Soi Ngamduplee , Rama 4 Road , Toongmahamek , Sathorn District , Bangkok 10120 ,
Tel. 0-2287-2674-7 , 0-2287-2663-4 , Fax : 0-2287-2678

E-mail :
contact@riceexporters.or.th or reat@ksc.th.com


Copyright © 2006 All rights reserved by The Rice Exporters Association.