นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงการกำหนดเงื่อนไขการประมูลข้าวของรัฐบาลฟิลิปปินส์วันที่ 5 พ.ค. นี้ ในปริมาณ 6.5 แสนตัน ซึ่งกำหนดให้ผู้เข้าร่วมประมูลต้องได้รับการดูแลจากรัฐบาลหรือได้รับการรับรองจากรัฐบาลประเทศนั้นๆ ว่าเรื่องนี้กรมฯ คงจะไม่ส่งหนังสือประท้วงรัฐบาลฟิลิปปินส์ เนื่องจากเห็นว่าการกำหนดเงื่อนไขเป็นสิทธิของแต่ละประเทศ
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ยังไม่มีแผนที่จะนำสต็อกข้าวที่มีอยู่ออกมาใช้ จึงไม่สามารถเข้าร่วมประมูลแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ได้ ส่วนการรับรองเอกชนให้เข้าร่วมประมูลนั้นทางกฎหมายไม่อนุญาตให้ดำเนินการ ทำให้การประมูลที่จะมีขึ้น ไทยไม่น่าจะเข้าร่วมได้แต่อย่างใด
”คงไม่ส่งหนังสือประท้วงรัฐบาลฟิลิปปินส์ เพราะการกำหนดเงื่อนไขเป็นสิทธิที่ฟิลิปปินส์ทำได้ เราคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว และไม่คิดว่ารัฐบาลจะเข้าร่วมประมูลแทน เพราะเราไม่มีแผนที่จะนำข้าวในสต็อกที่มีอยู่มาใช้ หากจะรับรองเอกชนไปประมูล กฎหมายก็ไม่อนุญาต” นางอภิรดี กล่าว
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การประมูลข้าวที่ฟิลิปปินส์หรือการประมูลต่างประเทศ รัฐไม่มีนโยบายที่จะไปร่วมประมูล เป็นความอิสระของภาคเอกชนที่จะเข้าร่วมหรือไม่ รัฐบาลอนุญาตให้ส่งออกได้เต็มที่ไม่จำกัดโควตา เพียงแต่เรากำหนดเป้าหมายการส่งออกปีนี้ไว้ที่ 9 ล้านตัน
"นิพนธ์"ชี้ฟิลิปปินส์ตั้งเงื่อนไขกันผู้ส่งออกเบี้ยว
นายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย และกรรมการสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวถึงเงื่อนไขการเข้าร่วมประมูลข่าวของฟิลิปปินส์ ว่า การที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ประกาศเช่นนี้ ถือเป็นการประกาศครั้งแรก ตั้งแต่เปิดให้มีการประมูลข้าวมา เนื่องจากฟิลิปปินส์เกรงว่าเมื่อประมูลได้แล้ว กลัวว่าผู้ส่งออกจะเบี้ยวส่งข้าวให้ เพราะสถานการณ์ขณะนี้ราคาข้าวได้พุ่งสูงต่อเนื่อง
เรื่องนี้คิดว่ากระทรวงพาณิชย์สมควรที่จะรับรองผู้ส่งออก ให้เข้าร่วมประมูลข้าวฟิลิปปินส์ เพื่อให้ไทยสามารถประมูลแข่งที่จะขายข้าวให้กับฟิลิปปินส์ได้ หากไม่มีการรับรองจากภาครัฐ อาจทำให้ผู้ส่งออกสูญเสียโอกาสได้ รัฐบาลก็สามารถรับรองผู้ส่งออกที่เคยซื้อข้าวจากรัฐบาลไว้ได้
"ตอนนี้ผู้ซื้อต้องการข้าวแต่รัฐบาลกลับไม่สนับสนุน ทั้งๆ ที่โอกาสเป็นของผู้ขาย ผมไม่รู้ว่าโง่หรือฉลาด หากไม่รับรองผู้ส่งออก อาจทำให้เสียภาพลักษณ์ประเทศไทยมีข้าวแล้วไม่ขาย เป็นต้นเหตุทำให้ราคาข้าวแพง หรือไม่รัฐบาลก็ควรให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เข้าร่วมประมูลก็ได้ เชื่อว่ามีกำไร และนำกำไรส่วนนี้มาช่วยเหลือเรื่องราคาปุ๋ยแพงได้" นายนิพนธ์ ยังเชื่อว่าฟิลิปปินส์ต้องเปิดประมูลข้าวอีกจากนี้ไป เพราะเขาต้องการซื้อข้าวจำนวนมาก เพราะข้าวในสต็อกของฟิลิปปินส์มีน้อย และต้องการนำเข้าข้าวไปเกลี่ยเพื่อให้ราคาจำหน่ายในประเทศถูกลง เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค
"พงษ์ลาภ" เตือนรัฐเสียโอกาสตลาดส่งออก
นายสมพงษ์ กิตติเรียงลาภ ประธานกรรมการบริษัท พงษ์ลาภ จำกัด กล่าวว่า กรณีที่รัฐไม่ต้องการใช้สต็อกข้าวที่มีอยู่ แต่ยังมีวิธีที่จะเข้าไปร่วมประมูลในนามรัฐบาลก่อน เมื่อได้รับคำสั่งซื้อแล้ว นำปริมาณข้าวที่จะต้องจัดส่งมาให้เอกชนทำหน้าที่หาข้าวและส่งออก วิธีนี้ทำเป็นประจำอยู่แล้วในส่วนของการประมูลข้าวที่อิหร่าน ที่มีเงื่อนไขเดียวกันคือการซื้อข้าวผ่านรัฐบาลเท่านั้น
การไม่เข้าร่วมประมูลเลย ถือเป็นการเสียโอกาสของไทยที่จะขายข้าว และระบายข้าวออกจากระบบ ทำให้ราคามีการเคลื่อนไหว ขณะนี้มองราคาข้าวอยู่ในทิศทางทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง
”วันนี้ (28 เม.ย.) ผมจะหารือกับกรมการค้าต่างประเทศอีกครั้งหนึ่งว่า จะมีแนวทางดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ผมไม่อยากให้ไทยเสียโอกาสที่จะขายข้าวได้ราคาดีๆ อย่างที่ตลาดฟิลิปปินส์ ที่ตอนนี้เป็นตลาดเดียวที่ยอมสู้ราคา” นายสมพงษ์ กล่าว
พาณิชย์ชี้ราคาสูงผิดปกติแทรกแซงทันที
ด้านนายมิ่งขวัญ กล่าวถึงการดูแลสถานการณ์ข้าวในประเทศว่า ประชาชนไม่ควรกักตุนข้าว และยืนยันปริมาณข้าวในประเทศมีเพียงพอ แนวโน้มราคาจากนี้จะไม่ปรับสูงขึ้นอีกตามทิศทางตลาดโลก แต่การกักตุน หรือเพิ่มปริมาณการซื้อที่มากกว่าปกติ ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นโดยไม่จำเป็น กระทรวงพาณิชย์กำลังจับตาดูสถานการณ์ราคาข้าวในประเทศ หากพบว่ามีราคาที่สูงผิดปกติ พร้อมเข้าแทรกแซงกลไกตลาดทันที แต่จะใช้วิธีใดต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
นายมิ่งขวัญ กล่าวหลังหารือร่วมกับนายคามาล นาธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของอินเดีย วานนี้ ( 27 เม.ย.) โดยระบุว่าทั้ง 2 ฝ่ายได้หารือร่วมกันถึงปัญหาเรื่องวิกฤติการขาดแคลนอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะข้าว ปัจจุบันหลายประเทศระงับการส่งออก แต่ความต้องการซื้อและบริโภคยังมีอยู่สูง จึงเป็นแนวทางที่ประเทศที่ผลิตและส่งออก เช่น ไทยและเวียดนาม จะร่วมมือเร่งพัฒนาเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของทุกประเทศทั่วโลก
ไทยแจงอินเดียไม่มีนโยบายห้ามส่งออก
”ขอยืนยันว่าไทยไม่มีนโยบายห้ามการส่งออก ประชาคมโลกจะต้องเข้าใจ วันนี้ข้าวเป็นประเด็นที่ถูกยกขึ้นพูดในเวทีระดับโลก ทำให้มองว่าประเด็นข้าวสำคัญและทุกฝ่ายต้องมาร่วมมือกัน ซึ่งไทยและอินเดียก็เห็นพ้องกัน“ นายมิ่งขวัญ กล่าว
ส่วนการส่งออกข้าวของอินเดีย ขณะนี้อินเดียระงับการส่งออก เพราะความต้องการบริโภคในอินเดียมีอยู่สูง แม้ว่าอินเดียจะปลูกข้าวและเคยส่งออกเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ก็ทำให้อินเดียต้องระงับส่งออกในที่สุด ส่วนไทยยืนยันที่จะส่งออกข้าวต่อไป เพราะมีปริมาณการผลิตข้าวที่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ และเหลือเพียงพอในการส่งออก
นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือถึงการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-อินเดีย กำหนดให้ได้ข้อสรุปภายในเดือนมิ.ย.นี้ และให้มีผลบังคับใช้ต้นปีหน้า เพื่อให้มูลค่าการค้าทั้งสองฝ่ายขยายตัวมากขึ้น
นายคามาล นาธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของอินเดีย กล่าวว่า ความร่วมมือการค้าสองประเทศ ประเด็นเรื่องข้าวสองฝ่าย จะเน้นการวิจัยพัฒนาและการลงทุนด้านการผลิตข้าวให้ได้คุณภาพและปริมาณผลผลิตที่ดีต่อไร่ ส่วนการเจรจาเอฟทีเอจะต้องให้ได้ผลการเจรจาเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพื่อให้การค้าเพิ่มมากขึ้น กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ อินเดียมีความสนใจจะเข้ามาลงทุนในไทย แม้ว่าจะไม่ได้เน้นว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใด แต่ที่มีความน่าสนใจลำดับต้นๆ คือ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ยูเอ็นประชุมแก้วิกฤติอาหารโลกวันนี้
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานวานนี้ ( 27 เม.ย.) ว่า นายบัน คี มูน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) จะเป็นผู้นำการประชุมเพื่อแก้วิกฤติอาหารโลกที่กรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ ในวันนี้ (28 เม.ย.) โดยมีหน่วยงานในสังกัดยูเอ็นเข้าร่วม 27 องค์กร
ผู้ที่จะเข้าร่วมหารือ ได้แก่ ผู้อำนวยการองค์กรชั้นนำ อาทิเช่น นางโจเส็ตต์ ชีรัน แห่งโครงการอาหารโลก นายโรเบิร์ต โซลลิค ประธานธนาคารโลก นายฌากส์ ดิอุฟ ผู้อำนวยการองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) และนายเลนนาร์ต เบจ ประธานกองทุนเพื่อการพัฒนาเกษตรระหว่างประเทศ
การประชุมแบบปิด จะใช้เวลา 2 วัน เพื่อหาแนวทางแก้วิกฤติอาหารโลก โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือในวันพรุ่งนี้ (29 เม.ย.) นายบันจะแถลงมาตรการรับมือฉุกเฉิน ซึ่งจะครอบคลุมถึงมาตรการรับมือระยะยาว รวมไปถึงการพิจารณาประเด็นปกป้องตลาดที่หลายชาติเปิดใช้ และประเด็นการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ภายหลังมีกระแสโจมตีว่าเชื้อเพลิงชีวภาพมีส่วนทำให้พื้นที่เพาะปลูกอาหารลดน้อยลง
ทั้งนี้ มีการมองกันว่าประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น อุปสงค์อาหารที่เพิ่มอย่างมากในชาติกำลังพัฒนา รวมถึงการหันไปเพาะปลูกพืชเพื่อใช้ทำเชื้อเพลิง และปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งก็มีส่วนทำให้ราคาอาหารพุ่งขึ้นทั่วโลก
"วิกฤติอาหารโลกและทางแก้ไขที่ยูเอ็นสามารถให้ได้ จะเป็นประเด็นหลักของการหารือในครั้งนี้" นายบัน กล่าว
ก่อนหน้านี้ เอฟเอโอ เตือนว่าการพุ่งขึ้นของราคาอาหาร ทำให้ประเทศราว 37 ชาติ ต้องเผชิญกับการประท้วงและเหตุจลาจลแล้วส่งผลให้นายบันเรียกร้องที่นครเวียนนาเมื่อวันศุกร์ (25 เม.ย.) ให้ทุกฝ่ายเร่งร่วมมือกันแก้ปัญหา จนนำมาสู่การนัดประชุมดังกล่าว พร้อมกล่าวยอมรับเป็นครั้งแรกว่า วิกฤติอาหารที่หลายชาติกำลังเผชิญ ได้กลายเป็นวิกฤติโลกอย่างแท้จริง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |