เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมมีมติอนุมัติกรอบวงเงินดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิต 2551/2552 รวมวงเงิน 9.7 หมื่นล้านบาท หลังจากนี้กระทรวงการคลังในฐานะผู้จัดหาแหล่งเงินทุน จะไปหารือกับธนาคารพาณิชย์ของรัฐและเอกชน ว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อสำหรับโครงการดังกล่าวได้เท่าไรและในรูปแบบใดบ้าง โดยตนจะพยายามต่อรองให้ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด เนื่องจากกระทรวงการคลังจะต้องเป็นผู้กู้เงินเองเพื่อนำมาให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้ในการรับจำนำ

"เท่าที่ได้หารือกับธนาคารกรุงไทยและธนาคารออมสิน ทั้งสองหน่วยงานพร้อมจะเข้ามาสนับสนุนปล่อยกู้ให้แห่งละไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ส่วนจะมีธนาคารอื่นมาร่วมปล่อยกู้อีกหรือไม่ จะต้องไปเจรจาก่อน" นายประดิษฐ์กล่าว

นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารออมสินมีสภาพคล่องมากเพียงพอที่จะเข้าไปสนับสนุนโครงการของรัฐบาลได้ แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าในส่วนของโครงการรับจำนำข้าวที่ ครม.มีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินครั้งนี้ มีรายละเอียดอย่างไร เพราะยังไม่ได้รับการติดต่อจากกระทรวงการคลัง ขอดูในรายละเอียดของโครงการ ผู้เข้าร่วมและความพร้อมของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก่อน

ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เร่งจ่ายหนี้ค้างชำระกับโรงสีที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว ได้แก่ ค่าฝากเก็บข้าว ค่าประกันภัย ค่าดูแลรักษาคุณภาพข้าว ค่าใช้จ่ายในการรับฝากและออกใบประทวน และค่าตรวจสอบข้าวในสต๊อครัฐบาล ตั้งแต่ปี 2548-2550 รวมแล้วเป็นเงิน 1,027 ล้านบาท ทั้งนี้ ทางโรงสีขอให้จ่ายหนี้ก่อนเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2551/2552 เพราะต้องการนำเงินมาใช้หมุนเวียนในการเข้าร่วมโครงการรับจำนำฤดูกาลใหม่ และลดปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งบางรายยื่นคำขาดหากไม่เร่งรัดจ่ายหนี้ภายในปีนี้ จะฟ้องร้องและไม่เข้าร่วมโครงการรับจำนำของภาครัฐในฤดูกาลผลิตนาปี 2551/2552

นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้เร่งปลดล็อคโรงสีที่ถูกขึ้นบัญชีดำ (แบล๊คลิสต์) กับ อคส. กรณีกระทำผิดไม่ร้ายแรงให้แล้วเสร็จก่อนเปิดโครงการรับจำนำฯเพื่อเพิ่มจำนวนโรงสีที่เข้าโครงการ ซึ่งโรงสีที่ถูกแบล๊คลิสต์มีทั้งสิ้น จำนวน 89 ราย

แหล่งข่าวกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม อคส.ได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ไม่สามารถจ่ายหนี้ค้างชำระให้โรงสีได้ตามเวลา เพราะรอการอนุมัติเงินจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคต่อความพร้อมในการเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2551/2552 ที่จะเริ่มเปิดรับจำนำตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งโรงสีเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นจุดรับจำนำที่สะดวกต่อการนำข้าวเข้าจำนำของเกษตรกร และเป็นรายใหญ่ของพื้นที่นั้นๆ ดังนั้น อาจเกิดความวุ่นวายได้หากโรงสีไม่เพียงพอกับปริมาณข้าวที่เกษตกรแห่มาจำนำ ซึ่งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดถึงตันละ 2,000 บาท

ที่มา มติชน