นายประสิทธิ์บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวถึงสถานการณ์ราคาข้าวว่า แม้มีแนวโน้มว่าราคาข้าวจะสูงขึ้น 2-3 เท่าในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือราคาประมาณ 3 หมื่นบาทต่อตัน แต่ชาวนาส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถชะลอขายข้าวได้ เพราะไม่มีที่เก็บผลผลิต จึงต้องส่งขายให้โรงสีทันทีหลังจากเก็บเกี่ยว ดังนั้น จะขอเสนอให้รัฐบาลใช้มาตรการอื่นเข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะการตรึงราคาข้าวให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป ดูแลต้นทุนปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งให้ประกันราคาข้าวไว้ที่ 1.5 หมื่นบาทต่อตัน
ขณะที่ฝ่ายการตลาดตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟท) แจ้งว่า ราคาซื้อขายสัญญาล่วงหน้าข้าวขาว 5% (บีดับเบิลยูอาร์5) ปรับตัวขึ้นสูงแตะเพดานอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตามสภาวะการขาดแคลนข้าวในตลาดโลก และนักลงทุนยังเชื่อว่า ราคาข้าวขาวมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะสั้น ส่งผลให้ราคาซื้อขายสัญญาล่วงหน้าส่งมอบเดือนเมษายน ณ วันที่ 28 มีนาคม2551 ปิดที่23.94 บาทต่อกก. มีปริมาณการซื้อขาย116 สัญญาเพิ่มขึ้น 99 สัญญาสำหรับปริมาณการซื้อขายรวมทุกสัญญาของบีเบิลยูอาร์ 5 อยู่ที่ 530 สัญญาเพิ่มขึ้นจากวานนี้ถึง 501 สัญญา
ทั้งนี้ในวันที่ 17 เมษายน2551 จะเป็นวันซื้อขายสุดท้ายสำหรับสัญญาล่วงหน้าบีดับเบิลยูอาร์ 5 APR08 ซึ่งราคายุติสุดท้ายเอเฟทจะนำราคาตามประกาศของกรมการค้าภายใน ช่วง 3 วันทำการสุดท้ายมาคำนวณหาค่าเฉลี่ยบวกกับค่าปรับปรุงคุณภาพอีก 0.30 บาทต่อกก. เพื่อปิดสถานะของนักลงทุนในตลาดซึ่งปัจจุบันราคาประกาศกรมการค้าภายในเฉลี่ย อยู่ที่ 20.30-20.35 บาทต่อกก. อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อขายในตลาดควรวิเคราะห์ข้อมูลและพิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อราคาทั้งด้านบวกและลบก่อนตัดสินใจลงทุนในเอเฟท
รายงานข่าวแจ้งว่าราคาซื้อขายสัญญาล่วงหน้าข้าวขาว 5% ในเอเฟทปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีและในแต่ละวันราคาเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน สะท้อนถึงภาวะค้าข้าวในตลาดจริง เป็นผลมาจากอุปสงค์และอุปทานของข้าวในตลาดภายในและต่างประเทศ ที่ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นเวียดนามและอินเดีย มีข้อจำกัดในการส่งออก ขณะเดียวกัน ประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่น ฟิลิปปินส์ ได้แสดงให้เห็นถึงภาวะขาดแคลนข้าวภายในประเทศ และต้องการนำข้าวเข้ามาแก้ไขปัญหาความขาดแคลนภายในประเทศ ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้น และมีอิทธิพลต่อระดับราคาข้าวภายในประเทศ
ที่มา คมชัดลึก |