ความร้อนแรงของสถานการณ์ข้าวโลก ที่ดีมานด์มากกว่าซัพพลาย จนดันราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามที่ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีวี่แววจะคลี่คลายลงล่าสุดอินเดียผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 4 ได้ประกาศปรับราคาเพดานส่งออกเป็นตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เวียดนามเน้นทำตลาดลูกค้าประจำและประมูลขายข้าวให้รัฐบาล หรือแม้แต่ประเทศไทยผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก ผู้บริโภคยังต้องมีภาระบริโภคข้าวเพิ่มขึ้น 30% ในเวลาเพียงแค่ 3 เดือน
คนไทยกินข้าวแพง 30%
นายวิชัย ศรีนวกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท โรงสีข้าวเจริญผล จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสถานการณ์ราคาข้าวสารในประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดได้ว่าผู้บริโภคคนไทยบริโภคข้าวแพงขึ้นเพียงใดนั้น ว่าช่วงเวลา 3 เดือน คือตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2551 คนไทยกินข้าวแพงขึ้นมาประมาณ 20-30% ทั้งนี้วัดจาก ราคาข้าวสารที่โรงสีขายส่งให้กับร้านขายส่งในกรุงเทพฯ ข้าวหอมมะลิ100% จากกระสอบละ (100 กก.) 2,300 บาท ขึ้นเป็นกระสอบละ 3,000 บาท หรือขึ้น 30% ข้าวขาว100% ปรับขึ้นจากกระสอบละ 1,800 บาท เป็นกระสอบละ 2,200 บาท หรือขึ้นมา 20-25%
ราคาข้าวที่คนไทยบริโภคไม่ถือว่าสูงกว่าราคาที่คนต่างประเทศบริโภค เวลานี้ข้าวสารส่งออกไม่รวมค่าขนส่ง (ราคาเอฟโอบี)ข้าวหอมมะลิตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวขาว 100% ตันละ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งหากถึงผู้บริโภคต่างประเทศต้องรวมค่าขนส่ง ค่าจัดการต่างๆ อีก ขณะที่อัตราการวิ่งของราคาข้าวสารส่งออกขึ้นเร็วกว่ากล่าวคือเดือนมกราคมข้าวหอมมะลิส่งออกอยู่ที่ตันละ 671 ดอลลาร์สหรัฐฯ เดือนมีนาคมตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯหรือเพิ่มขึ้น 49% ส่วนข้าวขาวเดือนมกราคมส่งออกตันละ 410 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีนาคมตันละ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 80% อย่างไรก็ดีคนไทยต้องกินข้าวในราคาที่สูงขึ้นสอดคล้องกับราคาส่งออกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะราคาในประเทศจะอิงราคาส่งออก
"หงษ์ทอง"ปรับขึ้นกว่า30%
นายวัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการปฏิบัติการ บริษัท เจียเม้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวถุงภายใต้แบรนด์หงษ์ทอง กล่าวว่า ขณะนี้ราคาข้าวหอมมะลิบรรจุถุงของบริษัทได้ปรับราคาขึ้นจากราคาข้างถุง 135 บาทต่อถุง เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาเป็น 160 บาทต่อถุงขนาด 5 กิโลกรัม ขณะที่ราคาขายจริงจะอยู่ที่ประมาณ 145 บาทต่อถุง
จากการปรับราคาดังกล่าว ทำให้ทางห้างสรรพสินค้าและโมเดิร์นเทรด ต้องลดคำสั่งซื้อสินค้าลง 60-70% เนื่องจากบริษัทไม่สามารถปรับลดราคาได้มากกว่านี้ เพราะราคาข้าวมีแต่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"ราคาที่ห้างต่างๆ ขอให้ทางบริษัทปรับลดหรือให้ตรึงราคาเท่าเดิม บอกตรงๆ ว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา การจำหน่ายข้าวต้อง ประสบกับภาวะขาดทุนมาโดยตลอด เพราะราคาข้างถุง 160 บาท จริงๆ แล้วการจำหน่ายต้องมีราคา 150-155 บาทต่อถุง แต่ทางห้างได้มีการแจ้งว่าจะให้ปรับขึ้นได้ในเดือนเมษายน 2551 นี้ และข้าวหงษ์ทอง จะมีการปรับราคาหน้าถุงจาก 160 บาท เป็น 180 บาท แต่ยืนยันว่าการปรับขึ้นครั้งนี้ยังไม่เท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น"
ทั้งนี้การปรับราคาขึ้นครั้งนี้ จะส่งผลให้ราคาข้าวหน้าถุงแบรนด์ของหงษ์ทองในช่วง 6 เดือนนับจากตุลาคม 2550- เมษายน 2551 ปรับขึ้นถึงกก.ละ 9 บาทหรือประมาณ 33% )
อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์ข้าวถุงที่ขาดแคลนในห้างสรรพสินค้าจะดีขึ้นในเดือนเมษายนนี้ โดยในส่วนของบริษัทเองได้แก้ปัญหาด้วยการนำข้าวไปขยายช่องทางร้านค้ายี่ปั๊ว ซาปั๊วและร้านโชวห่วย ซึ่งในปีนี้เป็นเรื่องแปลกกว่าปกติที่ร้านค้าเหล่านี้มีการสั่งซื้อข้าวถุงเป็นจำนวนมาก และให้ราคาดี แม้ว่าข้าวหอมมะลิบรรจุถุงจะมีการปรับราคาขึ้น แต่ร้านค้าก็ยังยินดีรับซื้ออย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหากว่าลูกค้าไม่สามารถหาซื้อข้าวถุงในห้างได้ ขอให้มาซื้อตามร้านค้ารายย่อยแทน เพราะสินค้ามีวางจำหน่ายตลอดเวลา
ผู้ค้าภายในหันส่งออก
ทั้งนี้ตลาดข้าวของไทยซึ่งมีสองส่วนคือในประเทศกับส่งออก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบริษัทเดียวกันจะทำทั้งสองตลาดอยู่แล้ว หลายรายให้ความเห็นในทิศทางที่สอดคล้องกันว่า จากการที่ตลาดข้าวส่งออกเคลื่อนไหวสูงขึ้นเร็วกว่าราคาในประเทศ สำหรับคนที่มีสต๊อกข้าวอยู่ในมือแล้วจึงไปรับออร์เดอร์ ทำตลาดส่งออกจะได้กำไรดีกว่าทำตลาดในประเทศ เพราะตลาดต่างประเทศ ผู้ซื้อมีความต้องการข้าวมากและไม่เกี่ยงราคา แถมยังวิ่งมาหาผู้ขายโดยตรง ขณะที่ภายในจะปรับสูงขึ้นมากไม่ได้เพราะต้องรับผิดชอบต่อผู้บริโภคในประเทศ เวลานี้หลายรายที่มีสต๊อกอยู่ในมือจึงหันไปทำตลาดส่งออกเป็นส่วนใหญ่
อินเดียปรับราคาเพดาน
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ กล่าวว่า จากการที่ราคาข้าวสารในตลาดโลกยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่สูงขึ้นตลอดเวลา เพราะเวลานี้มีผู้เล่น (ผู้ส่งออก) เหลืออยู่เพียงรายเดียวคือประเทศไทย เพราะอินเดียประกาศหยุดส่งออก และเวียดนามหยุดการส่งออกแล้ว โดยจะขายเฉพาะการประมูลขายให้กับรัฐบาลประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักเท่านั้น จึงทำให้ราคาข้าวเคลื่อนไหวไม่หยุด จนทำให้ล่าสุดวันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมารัฐบาลอินเดียได้ปรับราคาเพดานส่งออกจากตันละ 650 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นเป็นตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หมายความว่าหากใครจะส่งออกต้องส่งออกในราคาไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน เท่ากับอินเดียห้ามส่งออกโดยปริยาย
ขณะที่ประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่อย่างฟิลิปปินส์ได้ประกาศเปิดประมูลซื้อข้าวอีกรอบ โดยวันที่ 17 เมษายน ศกนี้ ฟิลิปปินส์จะเปิดประมูลซื้อข้าวขาว 25% จำนวน 500,000 ตัน เนื่องจากฟิลิปปินส์มีเป้าหมายจะนำเข้าข้าวปีนี้รวมทั้งสิ้น 2.1 ล้านตัน ทั้งนี้วงการค้าข้าวคาดหมายกันว่าการประมูลขายครั้งนี้ราคาเสนอขายซีแอนด์เอฟ (ราคารวมค่าขนส่ง) สำหรับข้าวขาว 25% ที่จะเสนอขายให้กับฟิลิปปินส์คาดว่าจะแตะถึงตันละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
"ความเคลื่อนไหวของราคาข้าวในตลาดโลกดังกล่าว คนไทยจึงมีโอกาสบริโภคข้าวแพงขึ้นเรื่อยๆ ตามราคาตลาดโลก เพราะราคาทั้งสองตลาดจะต้องอิงกันไป แต่ถึงอย่างไรคนไทยไม่มีวันต้องกินข้าวแพงกว่าคนต่างประเทศ" นายชูเกียรติกล่าว
ข้าวกระป๋องขึ้นราคา
ขณะที่นายเพิ่มพันธ์ เนียวกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท อัลบาทรอส จำกัด ผู้ผลิตข้าวแปรรูปบรรจุกระป๋อง ยี่ห้อ "คุณเพิ่ม" กล่าวว่าบริษัทฯผลิตข้าวบรรจุกระป๋องหลายผลิตภัณฑ์อาทิข้าวสวย ข้าวผัด ส่งออกต่างประเทศ 90% จากภาวะราคาข้าวเปลือกและข้าวสารในประเทศที่ปรับสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้เวลานี้บริษัทต้องขอลูกค้าต่างประเทศปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้น 5-10% ส่วนในประเทศยังไม่ได้ปรับเพราะสัดส่วนจำหน่ายน้อย
ดร.วราทัศน์ วงศ์สุรไกร รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงเส้นหมี่ชอเฮง จำกัด ผู้ผลิตเส้นหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว และแป้งแปรรูปทั้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้ารายใหญ่ กล่าวว่า จากราคาข้าวที่สูงขึ้น ได้กระทบอุตสาหกรรมแป้งแปรรูปค่อนข้างมาก โดยอุตสาหกรรมแป้งแปรรูปจะใช้ปลายข้าวเป็นวัตถุดิบ ที่สำคัญเจอซ้ำซ้อนกัน 2 ปี ปีที่ผ่านมาปลายข้าวเหนียวราคาแพง ปีนี้เจอปลายข้าวขาวราคาแพง คิดว่า ณ วันนี้วัตถุดิบแพงขึ้นมากว่า 80% ทำให้บริษัทต้องปรับราคาจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ แต่โดยรวมยังปรับในอัตราต่ำกว่าราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ที่สำคัญขณะนี้เริ่มประสบปัญหาขาดแคลนแล้ว เพราะการสั่งซื้อปลายข้าวผ่านบริษัทหยงฯได้รับแจ้งไม่มีของส่งมอบ และสต๊อกที่มีอยู่เริ่มลดลง แต่โรงงานคงไม่ลดกำลังผลิต เพราะต้องดูแลคนงาน รับผิดชอบลูกค้าที่สั่งซื้อกันไว้ล่วงหน้า ทางออกคือต้องแย่งซื้อวัตถุดิบแม้ราคาจะสูงขึ้นก็ตาม คิดว่านับจากนี้ราคาปลายข้าวยังต้องขึ้นอีก
แบงก์จับตาโรงสี-โกดังตุกติก
แหล่งข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)กล่าวยอมรับว่า ปัญหาในขณะนี้ทุกธนาคารได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าโรงสีหรือโกดังหรือยุ้งฉางโดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการปลูกข้าว เช่นสมุทรปราการ อ่างทอง ชัยนาท สุพรรณบุรี และพิจิตร สาเหตุมาจากลูกค้าที่กู้เงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ไปซื้อข้าวเปลือกเพื่อมาสต๊อกไว้ในยุ้งฉาง หลังจากนำข้าวเปลือกสีเป็นข้าวสารแล้วก็นำไปขายต่างประเทศ โดยไม่ได้นำเงินไปชำระคืนหนี้กับธนาคาร
ทั้งนี้ ธนาคารเพิ่งจะรู้ว่าเกิดกระบวนการโกงในกลุ่มนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่กลับไปตรวจสอบอีกครั้ง หลังจากที่มีข้าวขององค์การคลังสินค้า หรืออคส.สูญหาย ทั้งๆที่ปลายปีก่อนเจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจสอบโกดัง/ยุ้งฉาง แต่พบกระสอบกองสูงเป็นพะเนิน จึงเข้าใจผิดคิดว่ายังมีข้าวอยู่ในสต๊อก ต่อมาเมื่อมีข่าวเรื่องข้าวของอคส.สูญหายจึงได้ไปตรวจกันอีกรอบโดยใช้รถแบ็กโฮยกสูงขึ้นไปกลับพบว่า ตรงกลางนั้นไม่มีอะไรเลย เพียงแต่ลูกค้านำกระสอบมากองกั้นเพื่อหลอกธนาคารเจ้าหน้าที่เท่านั้น
"ที่ผ่านแบงก์ได้เร่งทวงหนี้ แต่ลูกค้าปฏิเสธระบุว่าไม่มีเงินชำระหนี้ หากธนาคารจะทวงหนี้คืนก็ให้ดำเนินการฟ้องเรียกหนี้ และขณะนี้ธนาคารก็ได้ดำเนินการฟ้องคดีไปบางราย ส่วนที่ว่าจ้างให้เจ้าหน้าที่ไปเฝ้าโกดังนั้น เป็นการเฝ้าระวัง โดยให้เจ้าหน้าที่รายงานทุก30 นาที เพราะเกรงว่าลูกค้าจะเลียนแบบโกดังอื่น ซึ่งกระบวนการโกงข้าวเวลานี้ทำให้ธนาคารเสียหายหลายพันล้านบาท ขณะที่ลูกค้าได้รับทั้งเงินกู้และเงินจากการขายข้าวสาร" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่กล่าวยอมรับว่า ปัญหาสต๊อกข้าวของธนาคารพาณิชย์ไม่ครบนั้นเริ่มชัดเจนตั้งแต่ต้นปี จากการอคส. เริ่มเอาจริงกับโกดังที่โยกสต๊อกข้าวและใช้ไม้แข็ง หากใครมีข้าวไม่ครบสต๊อกอคส.จะฟ้องอาญา ทางโรงสี และโกดังจึงโยกสต๊อกข้าวที่ยังคงเหลือไปให้อคส. ทำให้ธนาคารเจ้าหนี้ได้รับความเสียหายจากสต๊อกข้าวไม่ครบ และยังไม่ได้รับชำระหนี้จากการจำนำข้าวอีกด้วย
"ทุกแบงก์ต้องเข้าไปควบคุมในส่วนของสต๊อกตัวเอง เราก็เริ่มเช่นกัน เพราะก่อนหน้าเวลาแบงก์หรืออคส.ไปตรวจโกดัง ลูกค้าจะใช้วิธีโยกสต๊อก ทำให้ทั้งแบงก์และอคส.ต่างไม่รู้ข้อเท็จจริงข้าวในสต๊อคเป็นของใคร กรณีที่อคส.งัดไม้แข็งเพราะกฎหมายให้อำนาจอคส.ฟ้องทั้งอาญาและแพ่งได้ทำให้พวกนี้กลัวความผิด ขณะที่แบงก์ฟ้องเรียกหนี้ทางแพ่งและต้องใช้เวลายืดเยื้อ "แหล่งข่าวกล่าว
ในเรื่องเดียวกันนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยอมรับว่าการทำธุรกิจค้าข้าวเวลานี้มีปัญหา อันเนื่องมาจากการไล่ซื้อข้าวภายในประเทศไม่ทันกับราคาส่งออก ซึ่งเวลานี้ผู้ประกอบการขนาดกลางถึงเล็กทั้งโรงสีและผู้ส่งออก ชะลอการทำธุรกิจแล้ว ซึ่งหยงรายหนึ่งที่เป็นตัวแทนจัดซื้อข้าวจากโรงสีให้ผู้ส่งออกยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะหยงต้องติดต่อกับโรงสีและผู้ส่งออกเกือบทุกราย แต่เวลานี้จะมีเฉพาะโรงสีขนาดใหญ่และผู้ส่งออกขนาดใหญ่เท่านั้นที่ธุรกิจยังปกติอยู่ ส่วนขนาดกลางถึงเล็กชะลอลงแล้ว เพราะการซื้อข้าวผ่านหยงน้อยลงหรือแทบไม่มีเลย ดังนั้นหากธนาคารเข้มงวดมากยิ่งทำให้ผู้ประกอบการมีปัญหามาก แล้วในที่สุดจะกระทบไปถึงเกษตรกร จึงอยากให้ธนาคารลดความเข้มงวดลง
"เกียรติ"ห่วงรมว.พาณิชย์ตามไม่ทัน
นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานคณะกรรมาธิการตรวจสอบ และประเมินผล พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผย ฐานเศรษฐกิจ กรณีราคาข้าวที่ปรับตัวตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ ว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือ ชาวนาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ ในช่วงจังหวะที่ข้าวราคาดี ขณะเดียวกันต้องดูว่าไม่มีขบวนการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบจากภาครัฐ ที่เห็นชัดคือองค์การคลังสินค้า ที่กำกับดูแลสต๊อกเดิมที่มีอยู่ ควรมีระบบประกันภัย และป้องกันการเอื้อประโยชน์จากบางกลุ่มบางพวก
นอกจากนั้นนายเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันข้าวขาว ราคา 750 เหรียญต่อตัน สำหรับปีนี้ เป็นไปได้ที่จะขึ้นเป็น 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ทำให้คนที่ด้อยโอกาสมีรายได้น้อยปรับตัวไม่ทัน รัฐบาลต้องเข้าดูแล เช่น ถ้ามีสต๊อกเก่า จะสามารถนำมาใช้ดูแลคนที่มีรายได้น้อยในระดับหนึ่ง อาจผ่านโครงการธงฟ้า เมื่อใดที่มี 1 ผลผลิต แต่2 ราคา เจอปัญหาแน่ ที่เป็นห่วงมากคือ ทำเป็น 2 ตลาด เพราะกลไกตลาดที่ราคาต่างกันทำให้เกิดปัญหา แต่ถ้ามีหนึ่งตลาดเป็นราคาปกติ แล้วดูแลให้ราคาเป็นธรรม
"ผม เป็นห่วงบทบาทรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะการพูดจาของรัฐมนตรีมิ่งขวัญ บางครั้งการส่งสัญญาณที่ผิด ของคนที่ไม่เคยเป็นรัฐมนตรี พอเป็นรัฐมนตรีแล้วอาจจะไม่ตระหนักว่า สิ่งที่พูดสำคัญขนาดไหน เช่น การบอกว่า อย่าเพิ่งขายข้าว รัฐบาลส่งสัญญาณอย่างนั้นไม่ได้ เท่ากับรัฐมนตรี เข้าไปแทรกแซงตลาดทันทีเลย ท่าทีรัฐบาลไปกระทบ แทรกแซง โน้มน้าว ไม่น่าถูกต้อง และไม่น่าเป็นประโยชน์ ทำอย่างนั้นแล้ว จะปั่นป่วนทั้งระบบ และความเชื่อสถานะรัฐมนตรี" นายเกียรติกล่าวในตอนท้าย
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ |