นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดราคาอ้างอิงโครงการประกันราคาข้าว วานนี้ (2 ก.ย.) ว่าที่ประชุมมีมติเสนอวิธีการคิดราคาอ้างอิง โดยนำราคาข้าวตลาดกรุงเทพ จากข้อมูลของกรมการค้าภายในและสมาคมโรงสีข้าว มาคำนวณหาค่าเฉลี่ย ซึ่งจะเป็นวิธีการที่ได้ราคาข้าวที่สะท้อนความเป็นจริง ป้องกันผู้ซื้อกดราคารับซื้อ เพื่อผลักให้ชาวนามารับส่วนต่างราคาประกันจากรัฐสูง

นอกจากนี้ได้หารือถึงระยะเวลาประกาศราคาอ้างอิง ให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน ว่าควรจะเป็น 7 วัน หรือ 15 วัน เพราะมีข้อดีข้อเสียต่างกัน โดยการประกาศทุก 7 วัน จะเป็นผลดีในแง่การสะท้อนสถานการณ์จริง แต่จะสร้างความลำบากในขั้นปฏิบัติ ส่วนการประกาศทุก 15 วัน จะล่าช้าแต่มั่นใจจะทราบได้ทั่วถึงทุกพื้นที่จริง

ที่ประชุมยังได้หารือถึงการกำหนดอัตราค่าขนส่งที่จะชดเชย พร้อมส่วนต่างราคา เบื้องต้นเสนอให้กำหนดเป็นโซนแต่ละพื้นป้องกันความได้เปรียบเสียเปรียบในพื้นที่ห่างไกลกับพื้นที่ใกล้แหล่งจำหน่าย ซึ่งอนุกรรมการจะเสนอข้อมูลทั้งหมดให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ (กขช.) พิจารณาเพื่อเลือกแนวทางที่ดีที่สุดต่อไป

“อนุกรรมการฯมั่นใจว่าจะได้ข้อสรุปราคาอ้างอิง ทันการเปิดใช้โครงการรับประกันราคาข้าว 1 ต.ค.นี้ แน่นอน โดยจะนำข้อเสนอจากที่ประชุมฯส่งให้ กขช.พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไปทันที” นายศิริพล กล่าว

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา ให้ขยายเวลารับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง 2552 ออกไปถึงสิ้นเดือนก.ย. ว่า แนวทางดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาข้าวนาปรังที่ยังตกค้างอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผลผลิตออกล่าช้ากว่าพื้นที่อื่นเนื่องจากสภาพดินและอากาศ เช่น ปราจีนบุรี สระแก้ว เพชรบุรี ราชบุรี โดยแนวทางดำเนินการจะนำบัญชีเกษตรกรมาตรวจสอบอย่างเข้มงวด ในพื้นที่ที่ยังมีข้าวอยู่โดยจะเปิดรับจำนำฯเฉพาะจังหวัดหรือพื้นที่ที่มีโควตาเหลือเท่านั้น ส่วนชาวนาหรือพื้นที่ที่ใช้โควตาเต็มแล้ว ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้

สำหรับโควตาที่เหลืออยู่ขณะนี้รวม 4.5 แสนตัน จะนำมาบริหารจัดการผ่านการตรวจสอบบัญชีเกษตรกรตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มั่นใจว่าจะสามารถป้องกันการนำเข้าข้าว จากเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิเกษตรกร เพื่อเข้าร่วมโครงการได้ เพราะตามแนวทางนี้ห้ามการขนส่งข้ามเขต

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ