รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า วันที่ 6 มี.ค. นี้ คณะอนุกรรมการสรุปราคารับจำนำข้าวนาปรัง ปี 2552 ที่มีนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน จะพิจารณาราคารับจำนำข้าวที่จะใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2552 หลังจากได้ข้อสรุปจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งจะประชุมในสัปดาห์หน้า เพื่อสรุปราคารับจำนำข้าวและเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์เดียวกัน เพื่อให้ทันต่อการเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังวันที่ 16 มี.ค. นี้ โดยกำหนดเป้าหมายรับจำนำที่ 2.5 ล้านตัน

อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาราคารับจำนำข้าวนั้น กระทรวงฯจะเสนอราคาข้าว 4 ระดับ ตั้งแต่รับจำนำตันละ 1 หมื่นบาท 1.1 หมื่นบาท 1.2 หมื่นบาท และ 1.3 หมื่นบาท ให้ที่ประชุมพิจารณาว่าจะเลือกราคาใด โดยกระทรวงฯต้องการให้รับจำนำข้าวที่ราคาตันละ 1.2 หมื่นบาท หากต่ำกว่านั้น เกรงว่าอาจถูกเกษตรกรชุมนุมประท้วง

ทั้งนี้ หากรับจำนำในราคาสูงเกินไป จะไม่เป็นผลดีต่อระบบข้าวไทย ทำให้แข่งขันลำบาก ดังนั้นแนวโน้มราคารับจำนำอาจสรุปอยู่ที่ตันละ 1.1 หมื่นบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่อยู่ตรงกลางระหว่างทุกฝ่าย และมีการกำหนดเกณฑ์พิจารณา ว่าหากกำหนดราคารับจำนำไว้ที่ตันละ 1.1 หมื่นบาท เกษตรกรยังได้กำไรจากการรับจำนำข้าวตันละ 20% ซึ่งเป็นรายได้ที่เกษตรอยู่ได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง

นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า หากรัฐบาลประกาศราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปรังตันละ 1.1 หมื่นบาท อาจส่งผลให้เกษตรกรไม่พอใจ และเตรียมรวมตัวประท้วงรัฐบาลแน่นอน เนื่องจากราคารับจำนำตันละ 1.1 หมื่นบาท เมื่อเกษตรกรนำข้าวไปรับจำนำจริงและถูกหักค่าความชื้นจะทำให้เหลือตันละกว่า 9,000 บาทเท่านั้น ขณะที่ต้นทุนการปลูกข้าวของเกษตรกรอยู่ที่ 6,000-7,000 บาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายได้ที่ควรจะเป็น

“ระดับราคาที่ 1.2 หมื่นบาทต่อตัน เป็นราคาที่เราพอใจ หากต่ำกว่านั้น เกษตรกรคงอยู่ไม่ได้ ซึ่งไม่ได้ขู่รัฐบาล แต่อยากให้รัฐบาลพิจารณาถึงความเป็นจริง และขอเรียกร้องว่าที่ผ่านมา กระทรวงฯไม่เคยเรียกสมาคมเข้าไปหารือเลย ทั้งๆ ที่ เลยราคารับจำนำข้าวเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของเกษตรกร” นายประสิทธิ์ กล่าว

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ผู้ส่งออกต้องการให้รัฐบาลรับจำนำข้าวนาปรังที่ตันละ 1 หมื่นบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสม เพราะจะทำให้การส่งออกข้าวไทยแข่งขันได้ในตลาด ซึ่งหากรับจำนำที่ตันละ 1.2 หมื่นบาท จะทำให้ช่องว่างระหว่างข้าวไทยและข้าว เวียดนามห่างกันถึงตันละ 150 ดอลลาร์สหรัฐ แต่หากรับจำนำที่ตันละ 1 หมื่นบาท จะทำให้ช่องว่างข้าวไทยกับข้าวเวียดนามห่างกันเหลือตันละ 120 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น เพราะข้าวเปลือกของเวียดนามตกราคาตันละ 7,000-8,000 บาทเท่านั้น

“เราเข้าใจรัฐบาลว่ากำลังถูกกดดันให้รับจำนำ 1.2 หมื่นบาท ซึ่งหากสรุปราคาเป็นอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับ แต่จะทำให้ข้าวไทยแข่งขันลำบาก และยิ่งเมื่ออินเดียกลับมาส่งออกข้าวนึ่ง ซึ่งมีราคาถูกกว่าข้าวนึ่งไทยประมาณตันละ 200 ดอลลาร์สหรัฐ จะยิ่งทำให้ยอดการส่งออกข้าวไทยลดลงต่ำกว่าปัจจุบันที่ส่งออกประมาณเดือนละ 6 แสนตัน” นายชูเกียรติ กล่าว

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ