นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานประชุมอนุกรรมการสินค้าเกษตร ข้าว มันสำปะหลัง และ ข้าวโพด ว่า กระทรวงได้ส่งเรื่องสัญญาข้าวที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) ทำกับเอกชนผู้ส่งออกที่ชนะการประมูล 17 ราย ปริมาณรวม 2 ล้านตัน ให้สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาว่ารัฐสามารถยกเลิกสัญญาดังกล่าวได้หรือไม่ คาดว่าผลการตัดสินจะเสร็จสิ้นเร็วๆ นี้ หากผลเป็นไปในทางใด กระทรวงพาณิชย์พร้อมดำเนินการตามนั้น

อย่างไรก็ตาม หากเอกชนต้องการจะฟ้องร้องรัฐ ก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่จะฟ้องร้องใคร หรือหน่วยงานใด ไม่สามารถตอบได้ เพราะในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการอย่างดีที่สุดแล้ว จากนี้ไปจะแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบเท่านั้นว่ากระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอย่างไร

“เมื่อ ครม.อยากให้การระบายสินค้าเกษตรออกมาตามโครงสร้างใหม่ ก็คงต้องดำเนินการตาม แต่เราก็ให้อัยการ ซึ่งเป็นทนายของรัฐตัดสินว่าจะยกเลิกสัญญาได้หรือไม่ เราตัดสินใจเอง ไม่ต้องแจ้งครม.แต่จากนี้แค่แจ้งให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าบกพร่องอะไร เป็นเรื่องของกระแสที่มองเรื่องการขาดทุนเหมือนเรื่องรถเมล์ ที่ต้องดูให้รอบคอบ ไม่ได้มองว่าจะทุจริตอะไร เมื่อเป็นอย่างนี้ไม่เป็นไร ศรีทนได้" นางพรทิวา กล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้ตัดสินใจขายข้าวและทำสัญญาซื้อขายในราคาเฉลี่ยตันละ 1.4 หมื่นบาท นั้นเป็นราคาที่เหมาะสมและเห็นว่าเอกชนน่าจะให้ราคาที่เต็มที่แล้ว ซึ่งไม่แน่ใจว่าจากนี้ไปจะขายได้ราคาระดับเดียวกันอีกหรือไม่ เพราะขณะนี้ราคาตลาดเริ่มลดลง จากที่อินเดียยกเลิกการห้ามส่งออก

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีเอกชนรายใด ดำเนินการฟ้องร้องรัฐ มีเพียงบริษัทแห่งหนึ่งที่แจ้งความข้อหายักยอกทรัพย์ เท่านั้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินการต่อรองราคากับเอกชน หลังจากที่ได้มีการต่อรองไปก่อนจะอนุมัติขาย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวหลังการประชุม ครม.วานนี้ (3 มิ.ย.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติมอบอำนาจให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ไปพิจารณากำหนดการขยายปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2552 หลังจากขยายปริมาณจาก 2.5 ล้านตันเป็น 4 ล้านตันไปแล้ว แต่ขณะนี้ปริมาณการรับจำนำเกือบเต็มโควตาแล้ว ส่งผลให้บางพื้นที่ไม่สามารถนำข้าวเข้าโครงการได้ และหน่วยงานในพื้นที่ก็ประกาศหยุดการรับจำนำแล้ว

“ครม.มอบอำนาจ กขช. ไปพิจารณา เพื่อให้ข้อยุติว่าจะขยายปริมาณรับจำนำอีกเท่าไหร่ ส่วนวงเงินที่ทางครม.เคยอนุมัติ สำหรับใช้ในโครงการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร 1.3 แสนล้านบาทนั้นก็เต็มแล้ว ซึ่งก็จะต้องพิจารณาว่าจะหาเงินมาจากไหน โดยจะมีการประชุม กขช.ในวันนี้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

พร้อมกันนั้น ครม.เห็นชอบแนวทางการรับประกันราคาและประกันภัยข้าวเปลือก โดยจะเริ่มโครงการนำร่องกับข้าวเปลือกหอมมะลิ 2 แสนตัน ที่ปลูกอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ในทุ่งกุลาร้องไห้

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนการนำแนวทางประกันราคามาใช้กับสินค้าข้าวนั้น จะมีการทำความเข้าใจกับชาวนาก่อน พร้อมทั้งจะมีการรวบรวมตัวเลขทั้งหมดว่าในแต่ละปีรูปแบบการแทรกแซงที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น จะใช้เงินเท่าไร ใครได้ประโยชน์ และได้ประโยชน์อย่างไร จากนั้นจะมีการพิจารณาว่าจะเลือกแนวทางเดิมหรือจะปรับตามแนวทางใหม่

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.รับทราบข้อสรุปเรื่องแนวทางการระบายสินค้าเกษตรในโครงการรับจำนำ ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯเสนอ ซึ่งมี 5 ข้อ ได้แก่ 1.ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับเปลี่ยนโครงสร้างคณะทำงานระบายสินค้าเกษตร โดยมอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นประธาน 2.ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะจัดเก็บสินค้า 3.ให้กระทรวงพาณิชย์สำรวจปริมาณและรับรองคุณภาพสินค้าจากผู้ตรวจสอบสินค้า(เซอร์เวเยอร์) 4.ให้ประมูลสินค้าเกษตรเป็นรายคลัง

5.ให้คณะทำงานระบายสินค้าเกษตรที่มีอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นประธาน เสนอกรอบยุทธศาสตร์การระบายสินค้าเกษตร จากโครงการรับจำนำของรัฐบาลแต่ละชนิดต่อคณะอนุกรรมการตลาดของสินค้าเกษตรชนิดนั้นๆ เช่น ระดับราคา ปริมาณที่จะดำเนินการ ช่วงเวลาที่จะดำเนินการ พิจารณาก่อนเสนอให้คณะกรรมการนโยบายสินค้าเกษตรแต่ละชนิดพิจารณาอนุมัติ ยกเว้นสินค้าข้าวให้เสนอต่อนายกฯ ซึ่งเป็นประธาน กขช.

นายโนรี ศรีสมุทรนาค นายกสมาคมส่งเสริมชาวนาไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลปิดโครงการรับจำนำก่อนกำหนด เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเพราะข้าวในมือเกษตรกรยังเหลืออยู่ประมาณ 2 ล้านตัน แต่ที่รัฐบาลบอกว่า มีข้าวครบแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นข้าวจากไหน จากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิหรือไม่ ซึ่งไม่ควรให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ