นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติอนุมัติให้ขยายเป้าหมายปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2552 เพิ่มเติมอีก 2 ล้านตัน จากเดิมที่เป้าหมายการรับจำนำอยู่ที่ 4 ล้านตัน ส่งผลให้ปริมาณการรับจำนำข้าว ในโครงการนี้เพิ่มขึ้นเป็น 6 ล้านตัน ขณะที่ราคารับจำนำข้าวเปลือกยังกำหนดไว้เท่าเดิม คือ 11,800 บาทต่อตัน และระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ คือ วันที่ 31 ก.ค. 2552
ทั้งนี้ การเพิ่มเป้าหมายปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังครั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการรับจำนำอีก 23,600 ล้านบาท ซึ่งเงินในส่วนนี้จะนำมาจากเงินกู้ในโครงการแทรกแซงสินค้าเกษตร ที่มีวงเงิน 1.3 แสนล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโครงการจะอยู่ที่ 1,162.82 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร 200 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา 6 เดือน เป็นเงิน 254.8 ล้านบาท และค่าชดเชยดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือน เป็นเงิน 708 ล้านบาท
“จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบว่ายังมีข้าวเปลือกที่อยู่มือชาวนาอีกประมาณ 3 ล้านตัน และกระจายอยู่ใน 40 จังหวัดภาคกลางตอนล่าง และภาคกลางตอนบน ภาคเหนือบาง จังหวัด ซึ่งรัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อนและความทุกข์ของชาวนาดี โดยเฉพาะในยามที่มีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ จึงอนุมัติให้ขยายปริมาณรับจำนำข้าวเพิ่มขึ้นอีก 2 ล้านตัน แต่ที่ประชุมกำชับว่าการดำเนินการรับจำนำนั้น จะต้องมีการตรวจสอบเรื่องการสวมสิทธิเกษตรและการขายใบประทวนให้
โรงสีอย่างเคร่งครัด” นายอลงกรณ์ กล่าว
ชี้ผลผลิตเพิ่มจาก7.6เป็น8.2ล้านตัน
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯได้ประมาณการผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังปีนี้ใหม่ พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 7.6 ล้านตัน เป็น 8.2 ล้านตัน ซึ่งตามปกติแล้วการรับจำนำสินค้าเก ษตร จะรับจำนำที่ไม่เกิน 70% ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด หรือคิดเป็น 5.7-5.8 ล้านตัน ดังนั้น กขช.จึงมีมติเห็นชอบให้ขยายปริมาณรับจำนำอีก 2 ล้านตัน ระยะเวลาสิ้นสุดโครงการยังกำหนดไว้เหมือนเดิม คือ ไม่เกินสิ้นเดือนก.ค. และจะไม่มีขยายระยะเวลารับจำนำอีกแล้ว
วันนี้ (5 มิ.ย.) นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับจำนำจะเรียกประชุมอนุกรรมการฯเพื่อกำหนดขั้นตอนการดำเนินการต่อไป เช่น การกำหนดโควตาข้าวเปลือกที่แต่ละจังหวัดจะได้รับจัดสรร เป็น และเริ่มดำเนินการได้ทันที
สั่งพาณิชย์ศึกษาระบบใหม่แทนจำนำ
พร้อมกันนั้น กขช.ยังมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ ไปกำหนดมาตรการการดูแลสินค้าข้าวในปีการผลิต 2552/2553 ให้ชัดเจนว่าจะใช้วิธีการใด ส่วนวิธีการรับจำนำข้าวแบบเดิมนั้นขอให้ยุติไปได้แล้ว เพราะรัฐบาลมีเงินไม่เพียงพอ และให้นำเสนอต่อ กขช.อย่างช้าไม่เกิน 1 เดือน
ส่วนแนวทางการดูแลราคาข้าว จะเป็นวิธีการใดนั้นขึ้นอยู่กับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การขายในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า การประกันราคา หรือการจำนำข้าวในยุ้งฉาง
เปิดทางให้จำนำเฉพาะรายใหม่
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การรับจำนำข้าวเปลือกเพิ่มเติมอีก 2 ล้านตัน มีเงื่อนไขว่าจะเปิดให้เกษตรกรรายใหม่เข้าโครงการเท่านั้น ส่วนเกษตรกรที่เคยเข้าโครงการโดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ออกใบประทวนให้ไปแล้วจะไม่มีสิทธิ์เข้าโครงการอีก ที่ประชุมยังมติว่า จะไม่มีการขยายปริมาณการรับจำนำข้าวนาปรังเพิ่มขึ้นอีกแต่อย่างใด
“กระทรวงพาณิชย์เร่งออกมาตรการเพื่อตรวจสอบอย่างเข้มข้นต่อไป โดยหากพบว่ามีการไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการรับจำนำในครั้งนี้ให้ทุกฝ่ายแจ้งความดำเนินคดีได้ทันที” นางพรทิวา ระบุ
กอร์ปศักดิ์เล็งทุ่ม1.4พันล้านรับจำนำกุ้ง
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า หลังการประชุมกขช.นายกฯ และ นายกอร์ปศักดิ์ และกระทรวงพาณิชย์ได้หารือนอกรอบเกี่ยวกับสถานการณ์ราคากุ้งตกต่ำและทำให้มีเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในภาคใต้ประท้วงโดยการปิดถนน ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ เป็นประธาน วันนี้ (5 มิ.ย.) กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ คชก.พิจารณามาตรการรับจำนำกุ้งในปริมาณ 1 หมื่นตัน ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินในโครงการประมาณ 1.3-1.4 พันล้านบาท โดยจะใช้เงินของ คชก.เอง
เกษตรกรเมินระบบประกันใหม่
นายจิตต์ สำรวมจิต เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ จ.สุรินทร์ กล่าวในระหว่างการเสวนาหัวข้อ “ข้าวหอมมะลิกับการประกันราคา” จัดโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่จ.ขอนแก่น วานนี้ (4 มิ.ย.) ว่า เกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมมะลิในภาคอีสาน 8 จังหวัด ยังไม่มั่นใจว่าการประกันราคาข้าวที่รัฐบาลจะเริ่มนำร่อง จำนวน 2 แสนตัน เดือนมิ.ย. นี้นั้น จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ เท่าที่ดูการคำนวณต้นทุนการผลิตของภาครัฐกับเกษตรกร ยังมีความแตกต่างกัน โดยตัวเลขที่นักวิชาการ และ ธ.ก.ส.ระบุว่า ต้นทุนต่อไร่อยู่ที่ 4,500 บาท ขณะที่ต้นทุนจริงของเกษตรกรอยู่ที่ 5,000 บาทเศษ เนื่องจากราคาปุ๋ยสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน แม้จะมีเกษตรกรบางส่วนหันไปใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ก็มีเพียง 10% ของจำนวนเกษตรกรเท่านั้น ที่เหลืออีก 90% ยังจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี เพื่อเพิ่มผลผลิต ให้ได้ 350 กก.ต่อไร่
“หากได้ผลผลิตต่อไร่ถึง 350 กก. ราคาประกันเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 9,000-10,000 บาทต่อไร่ ขึ้นไปชาวนาจึงจะอยู่รอดได้ แต่การที่เกษตรกรจะไปขึ้นทะเบียนเข้าโครงการประกันราคา ขณะที่ยังมีโครงการรับจำนำอยู่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะเท่าที่เราดูโครงการประกันราคา มันเหมือนกับเป็นเกมของรัฐบาลที่จะกดราคาจำนำให้ต่ำลงเท่านั้น”
ธ.ก.ส.เปิดรับประกันสมัครใจ
ด้าน นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รักษาการผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า โครงการประกันราคาข้าวหอมมะลิที่จะเริ่มในเดือนมิ.ย. นี้ เป็นโครงการสมัครใจ เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเข้าร่วม โครงการหรือไม่ ธ.ก.ส.จึงกำหนดจำนวนรับประกันราคาไว้เพียง 2 แสนตัน แต่ถ้ามีเกษตรกรเข้าร่วมเกินเป้าหมายธ.ก.ส.ก็พร้อมจะเพิ่มจำนวนข้าวที่รับประกันราคาได้
ทีดีอาร์ไอหนุนระบบประกันช่วยลดภาระรัฐ
นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า โครงการรับจำนำสินค้าเกษตรนั้น ทำให้ภาครัฐต้องมีภาระและต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก โดยไม่คุ้มค่า ขณะที่เงินไม่ถึงมือเกษตรกรทั้งหมด แต่กระจัดกระจายไปอยู่ที่พ่อค้าคนกลาง โรงสี ขณะที่โครงการประกันราคาเป็นการกำหนดราคาในอนาคต ซึ่งเปิดโอกาสให้เกษตรกรสามารถตัดสินใจได้ ว่า จะปลูกพืชชนิดนั้นต่อไปหรือไม่ เมื่อรู้ราคาและต้นทุนการผลิตล่วงหน้า
นอกจากนั้นยังเป็นระบบที่ลดความเสี่ยงของเกษตรกรได้ ทั้งด้านการผลิตและด้านราคา ถือเป็นเครื่องมือใหม่ ที่มีการรับภาระความเสี่ยงร่วมระหว่างภาครัฐกับเกษตรกร
“โครงการรับจำนำที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ไม่ใช่การจำนำแท้จริงเป็นการประกันราคาขั้นต่ำ ทำให้รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเก็บข้าวไว้ในโกดัง แต่ระบบประกันราคาจะทำให้เกษตรกรมั่นใจว่าพืชผลการเกษตรที่ปลูกจะได้ราคาที่เหมาะสม เพราะมีการประกาศราคาล่วงหน้า ทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการปลูกได้” นายนิพนธ์ กล่าว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |