นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ปัญหาข้าวไทยปนเปื้อนสารแคดเมียมที่เป็นข่าวออกมานั้น แม้ในขณะนี้จะยังไม่มีผลกระทบใดๆ แต่เชื่อว่าเร็วๆ นี้น่าจะมีการตรวจสอบการนำเข้าข้าวจากไทย โดยเฉพาะผู้นำเข้าจากตลาดเฉพาะ (นิชมาร์เก็ต) เช่น สหรัฐ และยุโรป ในส่วนของข้าวหอมมะลิ และญี่ปุ่นในส่วนข้าวเหนียวที่มีความเป็นห่วงอยู่แล้ว

ทั้งนี้ พื้นที่ปลูกข้าวที่ถูกระบุว่ามีสารปนเปื้อนนั้น เป็นการเพาะปลูกในจำนวนน้อยและน่าจะใช้บริโภคภายในมากกว่า หากมีปัญหาใด รัฐควรเข้าไปแก้ไขให้ชัดเจน ก่อนนำเสนอสู่สาธารณชน เพราะตลาดต่างประเทศไม่ทราบข้อเท็จจริง อาจเกิดความวิตกกังวล และนำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขการนำเข้าข้าวจากไทย จนเป็นเหตุให้ต้องมีการตรวจสอบเข้มและนำไปสู่การเพิ่มต้นทุนของผู้ส่งออก แต่ที่สำคัญคือภาพลักษณ์ข้าวไทยที่เกิดจากความเข้าใจผิด

"น่าจะมีการคุยกันระหว่างกระทรวงหรือหารือกันก่อน แทนที่จะออกมาให้ข่าว หรือถ้าจะเป็นข่าวที่สื่อไปหามาเองก็น่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่นี้รัฐออกมาให้ข่าวเอง เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นผลดีกับทางตลาดยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐ" นายชูเกียรติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนผลกระทบต่อตลาดภาพรวมขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ โดยเฉพาะผลกระทบด้านราคา เพราะปัจจัยที่จะกระทบต่อราคามีหลายส่วน เบื้องต้นภาวะตลาดช่วงเดือนก.ค. - ส.ค. ผู้ซื้อยังรอดูสถานการณ์ หลังจากจากการประมูลข้าวขาว 25% ของฟิลิปปินส์ ปริมาณ 7.5 หมื่นตัน ผู้ส่งออกไทย 4 รายชนะการประมูล โดยเวียดนามเสนอราคาสูงกว่าไทยถึงตันละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งราคา (ซีไอเอฟ) ของไทยที่ชนะประมูลอยู่ที่ตันละ 486 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เวียดนามเสนอราคาตันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐ

จากผลการประมูลครั้งนี้ ทำให้เวียดนามต้องดั๊มพ์ราคาตลาดลงมาอีกตันละ 20 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดคืน เพราะมีความจำเป็น ต้องเร่งระบายข้าวในขณะนี้ ส่งผลให้ตลาดเกิดความสับสน จนชะลอคำสั่งซื้อสินค้าไว้ก่อน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทยด้วย

นายธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลสารแคดเมียมปนเปื้อนข้าว เพื่อต้องการนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมมานานให้ลุล่วงโดยเร็ว โดยไม่มีเจตนาที่จะทำให้กระทบต่อราคาข้าวและไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องต่อธุรกิจข้าว

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ