แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่าเร็วๆ นี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เตรียมเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เพื่อพิจารณานโยบายการแทรกแซงราคาข้าวนาปี ประจำปีการผลิต 2552/2553 โดยนายกรัฐมนตรีตัดสินใจที่จะให้มีการรับจำข้าวนาปีเช่นเดิม แต่การรับจำนำครั้งนี้จะแตกต่างจากที่ผ่านมา โดยเฉพาะราคารับจำนำที่จะกำหนดไว้จะต่ำกว่าราคาตลาด เพราะไม่ต้องการแบกรับภาระขาดทุนเหมือนในอดีต ขณะเดียวกันการรับจำนำไม่ได้ทำให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังต้องการให้มีการแทรกแซงราคาด้วยระบบการรับประกัน เช่นเดียวกับที่ดำเนินการในสินค้ามันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งภายในกลางเดือน ก.ค.นี้ โดยนายกรัฐมนตรีชี้แจงให้ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจได้รับทราบแล้วว่า ผลของการรับจำนำสินค้าเกษตรโดยใช้เงินกว่า 1.26 แสนล้านบาท ไม่ได้มีผลทั้งด้านปริมาณและราคาที่ทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรดีขึ้น ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องปรับเปลี่ยนการดูแลสินค้าเกษตรใหม่ โดยใช้ระบบประกันสินค้าเกษตรเข้ามาแทน
ส่วนปัญหาเรื่องสัญญาขายข้าวของผู้ส่งออกทั้ง 17 สัญญา นายกรัฐมนตรียืนยันชัดเจนแล้วว่าต้องเป็นไปตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 6 และ 13 พ.ค.2552 เท่านั้น โดยทั้งหมดเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ในฐานะผู้ปฏิบัติต้องไปดำเนินการให้เป็นไปตามมติ ครม.
ก่อนหน้านี้ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ในฐานะคู่สัญญาซื้อขายข้าวกับเอกชน 17 ราย ที่ชนะการประมูลข้าวสต็อกรัฐบาลจำนวน 1.9 ล้านตัน ให้คืนเงินวางค้ำประกัน 5% ของมูลค่าข้าวที่แต่ละรายวางเงินค้ำประกันไว้ทั้งหมด รวมถึงเงินค่าข้าวที่เอกชนได้ชำระบางส่วนจำนวน 9.6 หมื่นตัน
ทั้งนี้ การระบายสต็อกข้าวรัฐบาลที่เหลือ ต้องรอหลักเกณฑ์จากกรมการค้าต่างประเทศ จัดทำแผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรก่อนว่ามีความเห็นอย่างไร และต้องผ่านความเห็นชอบจาก กนข. ที่คาดว่าจะพิจารณาในเร็วๆ นี้
สำหรับการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกรัฐบาล มีการเซ็นอนุมัติขายข้าวเมื่อวันที่ 12 พ.ค.2552 โดย อคส.เรียกผู้ชนะประมูลเข้ามาทำสัญญาระหว่างวันที่ 13-22 พ.ค.2552 มีจำนวน 14 ราย รวมปริมาณข้าว 1.94 ล้านตัน เงินค้ำประกัน 5% ของมูลค่าสินค้า (แบงก์การันตี) วงเงิน 2.76 หมื่นล้านบาท ได้ชำระเงินค่าข้าวบางส่วน 6 ราย เป็นเงิน 1,223 ล้านบาท
ด้านนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน พร้อมเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ จ.นครสวรรค์ ตรวจสอบโรงสีข้าวใน อ.โกรกพระ และ อ.บรรพตพิสัย ที่อยู่ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2551/2552 ซึ่งอยู่ในระหว่างโค้งสุดท้ายของโครงการ
นายยรรยง กล่าวว่า ช่วงนี้มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน เกรงว่าทางโรงสีอาจจะแอบอ้างใบสวมสิทธิเกษตรกร เพราะข้าวโครงการรับจำนำมีราคาสูงกว่าราคาท้องตลาด ปัญหานี้เคยพบบ่อยครั้ง จึงต้องตรวจสอบอย่างใกล้ชิด สำหรับพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตข้าว ยังมีอีกหลายจังหวัด เช่น กำแพงเพชร พิจิตร สุโขทัย พิษณุโลก และนครสวรรค์ ซึ่งการตรวจโรงสีวันนี้ไม่พบการทุจริตแต่อย่างใด
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |