ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานการเปิดซองประมูลข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาล ปริมาณ 2.6 ล้านตัน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม โดยมีผู้ส่งออกเข้าร่วมยื่นซองเสนอราคา 32 ราย ในจำนวนนี้บริษัท วุฒิกวี จำกัด และสิงห์โตทองไรซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ส่งออกรายเล็ก เสนอราคาซื้อข้าวแบบยกลอต โดยมีผู้ส่งออกเสนอราคาซื้อข้าวยกลอต 2.6 ล้านตัน ได้แก่ บริษัท แคปปิตัลซีเรียลส์, บริษัท เอเชีย โกลเด้นไรซ์, บริษัท ไชยพรค้าข้าว, บริษัท สิงห์โตทอง และบริษัท วุฒิกวี โดยราคาเสนอซื้อต่ำสุดเฉลี่ยตันละ 12,000 บาท และสูงสุด 15,500 บาท ในภาพรวมยังต่ำกว่าราคาตลาด

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการต่อรองราคาข้าวซึ่งตั้งโดยคณะกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารซึ่งมีนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน กล่าวว่า การต่อรองราคาได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคมแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ทั้งนี้หลักเกณฑ์ในการระบายข้าวจะต้องต่อรองกับทุกรายจนกว่าจะมี ผู้ให้ราคาสูงสุด ซึ่งจะนำไปเปรียบเทียบกับราคาเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ เทียบกับราคาตลาดภายในและต่างประเทศ เพื่อให้ได้ราคาที่เป็นประโยชน์กับรัฐบาลจึงจะขายให้ จึงเป็นไปได้ที่อาจจะขายให้กับผู้ส่งออกหลายราย

สำหรับข้าวชนิดใดที่มีการเสนอซื้อเพียงรายเดียว เช่น ข้าวขาว 10% ปี 2549/2550 ข้าวขาว 10% นาปรัง ปี 2551 เป็นต้น จะต้องต่อรองกับผู้เสนอซื้อรายนั้น หากให้ราคาสูงจนเป็นประโยชน์กับรัฐบาลแล้ว อาจจะตัดสินใจขายให้ หรืออาจจะไม่ขายเลยหากราคาไม่น่าพอใจ

ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัติของวุฒิกวี ซึ่งมีข้อมูลว่า "อาจจะ" เป็นผู้ส่งออกที่ติดแบล็กลิสต์องค์การคลังสินค้า (อคส.) ไม่มารับมอบข้าวที่เคยประมูลนั้น ทาง อคส.จะเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติและพิจารณา ต่อไป

แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าวตั้งข้อสังเกตถึงการปรากฏตัวเข้าร่วมประมูลข้าวของวุฒิกวีและสิงห์โตทองนั้นอาจจะมีสายสัมพันธ์ถึงขั้นเป็นนอมินีให้กับนักการเมืองพรรคภูมิใจไทยระดับบิ๊กซึ่งอยู่คนละขั้วกัน จึงถือว่าการประมูลครั้งนี้มีความเข้มข้นในแง่ที่อาจจะมีผู้ส่งออกหลายรายได้แบ่งข้าวลอตนี้ไปในราคาต่ำกว่าราคาตลาด อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องขาดทุนอยู่แล้ว แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าจะขายราคาเท่าไหร่ โดยต้นทุนการผลิตข้าวนาปรัง ปี 2551 อยู่ที่ 13,800 บาทต่อตัน ขณะที่ข้าวนาปี ปี 2551/2552 ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อตัน ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและค่าขนส่ง

"ตอนนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า วุฒิกวีอาจจะประมูลข้าวไม่ได้ เพราะติดแบล็กลิสต์กับ อคส. แต่ในวงการข้าวไม่มีใครรู้จัก แม้ว่าจะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2547 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และในปี 2550 ที่ผ่านมางบการเงินในส่วนของงบดุลมีสินทรัพย์เพียง 267,333.76 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีสินทรัพย์ 184,017.92 บาท และมีรายได้ในปี 2550 เพียง 72,000 บาท จากค่าที่ปรึกษา ขณะที่ปี 2549 มีรายได้ 1,710.38 บาท และมีกำไร 6,011.27 บาท กำไรต่อหุ้น 0.60 บาท" แหล่งข่าวกล่าว

ด้านนายมนต์ชัย รุ่งชาญชัย ผู้จัดการบริษัท สิงห์โตทองไรซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า การเสนอราคาซื้อข้าวปริมาณมากถึง 2.6 ล้านตันนั้น ทางบริษัทมีแผนการ ส่งออกเตรียมไว้อยู่แล้ว โดยมีออร์เดอร์จากต่างประเทศเตรียมไว้แล้ว เราให้ราคาเพิ่มในบางโกดังตามคุณภาพอีก 300-500 บาท โดยหวังว่าจะชนะประมูลในส่วนของข้าวขาว 5% และ 25% ซึ่งหากได้ในราคาใกล้เคียง 14,000-15,000 บาทต่อตัน ซึ่งต้องปรับปรุงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 500-600 บาท คิดเป็นราคาเอฟ.โอ.บี 420 เหรียญสหรัฐต่อตัน ต่ำกว่าราคาข้าวปัจจุบันที่ 500 เหรียญสหรัฐ ถือว่ามีส่วนต่างถึงตันละ 2,000-3,000 บาท ซึ่งถึงอย่างไรก็จะได้กำไร ส่วนการรับมอบจะมีการใช้สิทธิที่ให้นำใบสำแดงการส่งออกของบริษัทอื่นมาร่วมสำแดงต่อ อคส.หรือไม่นั้น ก็ต้องดูก่อน

"กรณีมีการกล่าวหาว่า สิงห์โตทองมีสายสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทยนั้น เราไม่ทราบ เพราะโดยส่วนตัวไม่เคยรู้จัก เราอยู่ในวงการค้าข้าวมาเกือบ 20 ปี ทำโรงสีมาก่อน 10 ปี แล้วค่อยขยายมาทำส่งออก 5 ปี มีโรงสี 3 แห่ง กำลังการผลิตกว่า 3,000 ตันต่อวัน มีโรงปรับปรุงข้าว มีโกดัง ซึ่งร่วมกับโครงการจำนำของรัฐบาลขณะนี้มีข้าวของเราเอง 1.5 ล้านกระสอบ ทำให้เราไม่มีต้นทุนด้านโลจิสติกส์" นายมนต์ชัยกล่าว

ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่า การเปิดประมูลข้าวครั้งนี้มีความโปร่งใส ไม่มีการเรียกหัวคิวในการขาย เพราะมีคณะทำงานพิจารณาการระบายข้าวที่ประกอบด้วยตัวแทนจากหลายหน่วยงาน และยังแต่งตั้งคณะทำงานเจรจาต่อรองราคาขึ้นมาอีกชุดเพื่อเจรจาต่อรองราคา ซึ่งต้องเป็นราคาที่ทำให้ประเทศได้ประโยชน์สูงสุด

โดยราคาดังกล่าวจะต้องดูทั้งราคาตลาด ราคาตลาดโลก และคาดว่าจะสรุปผลมาให้รับทราบในเร็วๆ นี้ หากต่อรองแล้วได้ราคาดีคงต้องอนุมัติให้ ส่วนที่มีกระแสข่าวให้ล้มประมูลข้าวนั้นต้องรอดูผลการเจรจาต่อรองราคาข้าวออกมาก่อน

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ