นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าโครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตร ในส่วนโครงการประกันราคาข้าว ว่า ในสัปดาห์หน้าตนจะเชิญสมาคมและตัวแทนผู้ประกอบการโรงสี มารับทราบข้อมูลการดำเนินงานโครงการประกันราคา และหากโรงสีใดมีปัญหา ก็ให้นำเสนอมายังรัฐบาล โดยเฉพาะปัญหาการขาดสภาพคล่องของโรงสี ในการรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้สถาบันการเงินของรัฐ ปล่อยสินเชื่อให้โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก และเชื่อว่าโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ จะไม่เกิดปัญหาขาดทุนแน่นอน โดยราคาข้าวอ้างอิงที่รัฐบาลจะประกาศนั้น จะเป็นราคาที่สอดคล้องกับราคาตลาด
นายกอร์ปศักดิ์ ย้ำว่า หากเกิดกรณีที่โรงสีกดราคารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ต่ำกว่าราคาที่รัฐบาลประกาศอ้างอิง รัฐบาลก็จะตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรเอง และแปรรูปก่อนส่งออกต่างประเทศโดยตรง ซึ่งราคาที่เกษตรกรขายได้ดังกล่าว หากต่ำกว่าราคาที่รัฐประกาศรับประกันไว้ เกษตรกรจะได้รับการชดเชยส่วนต่างตามสัญญาที่ทำไว้กันรัฐบาล
ส่วนความคืบหน้าการขึ้นทะเบียนเกษตรกรนั้น นายกอร์ปศักดิ์ มั่นใจว่าในส่วนของการขึ้นทะเบียนเกษตรกรในส่วนของข้าวโพดและมันสำปะหลัง ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะมีจำนวนเกษตรกรน้อย แต่ในส่วนของข้าวซึ่งมีเกษตรกรกว่า 5.7 ล้านรายนั้น ตนยังยืนยันว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้ไปแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย. นี้ เพราะในเดือนต.ค.-พ.ย.จะมีข้าวเปลือกออกสู่ตลาดแล้ว ดังนั้น รัฐบาลไม่มีทางเลือกและต้องเร่งรัดให้การขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้เสร็จตามกำหนด และโดยส่วนตัวแล้วตนยังเชื่อว่าการดำเนินงานขึ้นทะเบียนเกษตรกรจะเสร็จทันตามกำหนดแน่นอน
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวถึงการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ที่อาจมีเกษตรกรบางรายแจ้งพื้นที่และผลผลิตมากเกินความเป็นจริงว่า การแจ้งข้อมูลดังกล่าวอาจมีปัญหาการแจ้งเท็จบ้าง เพราะมีเกษตรกรเป็นจำนวนมาก ทำให้ตรวจสอบไม่ได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีมาตรการป้องกันปัญหา โดยการทำประชาคมในชุมชน และการใช้ภาพถ่ายทางอากาศตรวจสอบกับข้อมูลที่แจ้งมา ขณะเดียวกัน ในสัญญาประกันที่เกษตรกรทำกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะมีการระบุในสัญญาว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องยินยอมให้มีการตรวจสอบข้อมูลได้อย่างเต็มที่ หากพบเกษตรกรรายใด แจ้งผลผลิตไม่ตรงกับความเป็นจริง ในสัญญาจะระบุว่าเกษตรกรต้องคืนเงินชดเชยส่วนต่างที่ได้รับไปแล้ว หรือรัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินส่วนต่างให้แก่เกษตรกรรายนั้น
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |