นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังประชุมร่วมผู้ผลิตสินค้าการเกษตร เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การบริหารจัดการสินค้าภาคการเกษตรในกลุ่มสินค้าสำคัญ 8 รายการ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง เมล็ดกาแฟ ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง สุกร และไก่เนื้อ

นางพรทิวา กล่าวว่า รัฐบาลยังมีความจำเป็นเข้าไปรับประกันราคาพืชผลทางการเกษตร เพื่อไม่ให้กลไกตลาดบิดเบือน และดูแลลดต้นทุนให้แก่เกษตรกร เช่น ปุ๋ย ราคาอาหารสัตว์ เพื่อไม่ให้เกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าขาดทุนมากเกินไป สำหรับวงเงินงบประมาณที่จะเข้าไปแทรกแซงราคาพืชผลทางการเกษตรปีนี้ จากเดิมคาดว่าจะใช้กว่า 63,000 ล้านบาท แต่จากการศึกษาวิเคราะห์คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 40,000-43,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือกลุ่มสินค้าภาคการเกษตรทั้งระบบ ยกเว้นอ้อยและน้ำตาล เพราะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเป็นผู้ดูแล

“คาดว่าทั้ง 8 รายการสินค้าดังกล่าวจะทำให้มูลค่าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นจากปีฐานโดยคำนวณตั้งแต่ปี 2548-2550 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ส่วนวงเงินแทรกแซง 40,000-43,000 ล้านบาท จะเป็นเงินทุนหมุนเวียนไม่ใช่จ่ายขาด และน่าจะทำให้รายได้ของเกษตรกรปีนี้เพิ่มขึ้นโดยรวมประมาณ 64,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าระยะสั้นจะเห็นผลภายใน 3 เดือน ระยะกลาง 1 ปี และระยะยาว 3-5 ปี” นางพรทิวา กล่าว

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะมีช่องทางร่วมกับผู้ผลิตและห้างสรรพสินค้าดำเนินการนำสินค้าภาคการเกษตรจัดวางในห้างเพิ่มขึ้นและนำสินค้าเกษตรผ่านโครงการธงฟ้า ส่วนตลาดต่างประเทศ จะพยายามส่งเสริมให้สินค้าออกไปตลาดเก่าและใหม่มากขึ้น รวมทั้งเร่งดูแลปัญหากีดกันทางการค้าและการทำตลาดล่วงหน้า

นางพรทิวา กล่าวว่า ทางภาคเอกชนได้ขอร้องรัฐบาลอย่าเพิ่งเร่งรีบระบายสตอกข้าวรัฐบาล ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่า ยังไม่มีการระบายสตอกข้าวรัฐในขณะนี้ คงต้องรอดูสถานการณ์ราคาข้าวในตลาดก่อน และได้สั่งการให้นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบและดูแลราคาพืชผลทางการเกษตร.

ที่มา สำนักข่าวไทย