นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วานนี้ (13 ก.ค.) ตนเข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯ ระบุว่า จะเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร สำหรับการผลิตข้าวเปลือกนาปีฤดูกาลใหม่ โดยจะใช้วิธีการประกันราคาแทนการรับจำนำข้าว ซึ่งราคาประกันจะเป็นราคาที่ไม่สูงเกินความเป็นจริง แต่เป็นราคาที่ทำให้เกษตรกรอยู่ได้และไม่ขาดทุน โดยคำนวณจากต้นทุนการผลิตบวกกับกำไรที่เกษตรกรสมควรจะได้รับ เช่น อาจไม่เกิน 25%

ทั้งนี้ เกษตรกรที่จะเข้าโครงการฯ จะต้องมาลงทะเบียนเข้าโครงการล่วงหน้า และจะมีการกำหนดวงเงินที่เกษตรกร จะเข้าร่วมโครงการฯ อีกด้วย เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ส่วนวงเงินจะเป็นเท่าใดนั้น ต้องมีการหารือกันในที่ประชุม กขช.ก่อน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะประกาศมาตรการเสริม ร่วมกับการประกันราคาข้าว เช่น อาจใช้วิธีประกาศรับจำนำข้าว ณ ยุ้งฉาง ซึ่งเกษตรกรยังสามารถไถ่ถอนข้าวได้เหมือนเดิม หรืออาจตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวและขายออกไปทันที ซึ่งทั้ง 2 วิธีทำให้รัฐบาลไม่ต้องรับภาระเก็บรักษาข้าว ซึ่งราคารับจำนำหรือรับซื้อนั้น จะอ้างอิงกับตลาด และจะดำเนินการเท่าที่มีความจำเป็นเท่านั้น เช่น มีพ่อค้ากดราคารับซื้อข้าว ซึ่งยอมรับว่าการประกาศประกันราคาข้าวแทนการรับจำนำ จะทำให้ผู้เสียประโยชน์คัดค้าน แต่รัฐบาลคงรับภาระไม่ไหว หากต้องขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวปีละหลายหมื่นล้านบาท

“ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เราก็เจ๊ง แน่นอนว่าการประกาศรับประกันราคาข้าว จะทำให้ผู้เสียประโยชน์บางฝ่ายคัดค้านบ้าง เพราะเดิมเป็นเหมือนเสือนอนกิน แต่ถ้าไม่ทำอะไร มันก็ไปไม่ไหว ขอร้องว่าขอให้เห็นแก่ประเทศบ้าง" นายกอร์ปศักดิ์ ระบุ

นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวหลังเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ได้เสนอให้นายกฯ ปรับระบบการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรใหม่ทั้งระบบ โดยให้ใช้วิธีการประกันความเสี่ยงราคา ควบคู่กับการเปิดรับจำนำ ซึ่งช่วยให้เกษตรกรทั้งหมด 3.5 ล้านครัวเรือนเข้าถึงโครงการนี้ และหากเปิดโครงการรับจำนำควบคู่ไปด้วย จะช่วยพยุงราคาไม่ให้ตกต่ำ รัฐไม่ต้องสูญเสียส่วนต่างราคาในการประกันความเสี่ยงมาก

“โครงการรับจำนำมีจุดอ่อน ที่การคอร์รัปชันสูง ช่วยเกษตรกรได้เพียง 4-5 แสนคนเท่านั้น ต้องนำระบบประกันความเสี่ยงมาใช้ทันทีในฤดูกาลใหม่ และข้อกังวลจะมีการฮั้วระหว่าง เจ้าหน้าที่รัฐ ชาวนา และพ่อค้านั้นเป็นเรื่องที่แต่ละฝ่ายจะต้องติดตามและตามแก้ไขไป” นายนิพนธ์ กล่าว

นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า ตนยังเสนอให้รัฐเร่งระบายสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวออกมาโดยเร็ว โดยทยอยระบายออกล็อตเล็กๆ ซึ่งสามารถกำหนดราคาได้ดีกว่า หากระบายล็อตใหญ่จะมีปัญหาเรื่องราคาและเป็นช่องทางทุจริตได้ง่าย หากระบายรอบนี้หมด ในฤดูกาลต่อไปให้ระบายเป็นข้าวเปลือกแทน เพราะควบคุมคุณภาพ และกำหนดราคาได้ดีกว่า ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสีแปร และการจัดเก็บรักษาที่ยากกว่า

นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวต่อว่า การระบายสินค้าเกษตรในสต็อกของรัฐบาล เช่น ข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลังนั้น ตนคาดว่ารัฐบาลต้องขาดทุนสูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท แต่หากมีการบริหารจัดการที่ดี ก็จะขาดทุนน้อยกว่านี้

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ช่วงนี้เหมาะสำหรับการระบายข้าว จากปัจจัยความต้องการตลาดและคู่แข่ง เช่น อินเดียยังไม่มีแผนการระบาย ซึ่งรัฐบาลมีแผนเร่งดำเนินการ แต่จะดูความเหมาะสมอย่างรอบด้าน เพื่อให้การระบายเกิดประโยชน์สูงสุด

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ