นายสมพงษ์ กิตติเรียงลาภ ประธานกรรมการบริษัท พงษ์ลาภ จำกัด เปิดเผยภายหลังยื่นหนังสือถึงองค์การคลังสินค้า (อคส.) เรื่องการขอความชัดเจนการขนข้าวส่วนที่ชำระเงินแล้วออกจากโกดังรัฐบาลวานนี้ (15 มิ.ย.) ว่า เจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้าได้แจ้งให้ทราบเบื้องต้นตามสัญญาข้อ 12 ที่ระบุให้ส่งมอบสินค้าแก่ผู้ซื้อที่ชำระเงินค่าสินค้าแล้ว ทำให้ อคส.ต้องส่งมอบข้าวปริมาณดังกล่าวแก่ผู้ส่งออก แม้ก่อนหน้านี้จะมีความไม่ชัดเจนการปฏิบัติตามสัญญาซื้อ-ขายดังกล่าวเนื่องจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ชะลอการประมูลข้าวล็อตดังกล่าว
“เจ้าหน้าที่บอกผมว่า น่าจะให้ขนข้าวได้ เพราะสัญญาข้อ 12 บอกไว้อย่างนั้นซึ่งวันนี้ (16 มิ.ย.) ผมน่าจะได้รับคำตอบว่าจะขนข้าวส่วนที่จ่ายเงินแล้วได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ ผมจะดำเนินการฟ้องร้อง อคส.ในฐานะคู่สัญญาก่อน จากนั้นจะต้องไล่เรียงตามความผิด ที่ก่อให้เกิดการผิดสัญญา ซึ่งถ้าต้องฟ้องรัฐบาลผมก็คงต้องทำเพราะตอนนี้ผมลำบาก” นายสมพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทต้องการข้าว ส่วนที่ได้ชำระเงินแล้วประมาณข้าว 1.3 หมื่นตัน จากทั้งหมดที่รับทำสัญญาซื้อขายประมาณ 2 แสนตัน ขณะเดียวกันหาก อคส.ยอมตามสัญญาให้บริษัท ก็จะทำให้ผู้ส่งออกที่ชำระเงินค่าข้าวบางส่วน สามารถขนข้าวออกจากโกดัง ซึ่งข้าวในส่วนนี้มีประมาณ 2.4 แสนตัน คิดเป็น 4.6% ของ 2.6 ล้านตัน ที่นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการระบายข้าวได้อนุมัติไว้ โดยบริษัทที่ชำระเงินแล้วมี 6 แห่ง เช่น บริษัท เอเชีย โกลเด้นไรซ์ จำกัด บริษัท นครหลวงค้าข้าว และโรงสีบางแห่ง
นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่บริษัทต้องดำเนินการเรียกร้องต่อรัฐบาล เพราะได้ทำสัญญากับผู้ซื้อในต่างประเทศไว้แล้ว แต่ไม่สามารถส่งมอบข้าวได้ ต้องซื้อข้าวจากท้องตลาดส่งมอบแทน ทำให้เสียค่าใช้จ่ายส่วนต่าง รวมถึงค่าบริหารจัดการที่ไม่ได้อยู่ในแผนรวม10 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หาก อคส.ยอมตามให้สามารถดำเนินการตามสัญญา ในส่วนข้าวที่ชำระเงินแล้วนั้น บริษัทจะไม่ได้ดำเนินการฟ้องร้องใดๆ รวมถึงจะถอนฟ้อนศาลปกครองที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ และไม่มีแผนจะเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ
ส่วนความคืบหน้าการฟ้องร้องศาลปกครอง ขณะนี้บริษัทเตรียมนำเงินจำนวน 7 แสนบาท เป็นหลักประกันการฟ้องร้อง เพื่อให้ศาลพิจารณาฉุกเฉินให้การคุ้มครองเนื่องจาก บริษัทได้รับความเสียหายจากรัฐบาล ที่ได้ทำสัญญาซื้อ-ขายแล้วเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม แต่รัฐไม่สามารถปฏิบัติได้ตามสัญญา
ด้านการดำเนินการของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่ยื่นหนังสือถึงสำนักนายก-รัฐมนตรีเพื่อขอเข้าพบนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีเพื่อขอความชัดเจนสัญญาซื้อ-ขายข้าวปริมาณ 2.6 ล้านตันนั้น ได้รับคำตอบว่ากำลังรอคำตัดสินของสำนักงานอัยการสูงสุดว่ารัฐสามารถยกเลิกสัญญาดังกล่าวได้หรือไม่ ซึ่งจนถึงขณะนี้การพิจารณายังไม่เสร็จสิ้น จึงไม่จำเป็นต้องมีการหารือกับผู้ส่งออกในขณะนี้
นายสมพงษ์กล่าวอีกว่าในการยื่นหนังสือครั้งนี้มีนายยงยศ ปาละนิติเสนา รักษาการผู้อำนวยการ อคส. และรองประธานกรรมการบริหาร (บอร์ด) เป็นผู้รับหนังสือโดย อคส.จะดำเนินการหารือเป็นการภายในก่อนให้คำตอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรณีที่องค์การตลาดส่งเสริมสินค้าเกษตร (อตก.) สามารถส่งมอบข้าวดังกล่าวได้ ทั้งที่มีลักษณะสัญญาซื้อขายเดียวกับ อคส.นั้น ถือเป็นแนวทางปฏิบัติ ที่จะต้องนำมาศึกษาประกอบโดยการดำเนินการของ อ.ต.ก. ทำให้ผู้ส่งออกรายอื่นๆ ที่ชำระเงินแล้วสามารถขนข้าวและส่งมอบให้ลูกค้าได้ตามสัญญา ขณะที่บริษัทไม่ได้ซื้อข้าวจาก อ.ต.ก.
นางพรทิวา เปิดเผยถึงกรณีที่เอกชนผู้ชนะการประมูลข้าวจะขอขนข้าวออกจากโกดังว่า เป็นเรื่องของ อคส.ที่จะอนุมัติให้ผู้ส่งออกข้าวที่ชนะการประมูลข้าวสต็อกรัฐบาลจำนวน 2 ล้านกว่าตัน เข้าไปรับมอบข้าวในคลังสินค้า ที่ชนะการประมูลในส่วนที่ได้มีการชำระเงินกับ อคส.ไว้แล้ว 10-20% ของปริมาณข้าวที่ชนะการประมูลทั้งหมด และไม่ต้องมารายงานให้ตนรับทราบ เพราะเป็นเรื่องของคู่สัญญาคือ อคส.และเอกชนที่ทำสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างกัน
“นโยบายเรื่องการระบายข้าวล็อตดังกล่าว ได้ให้ไว้ตั้งแต่เริ่มการประมูลจนได้ผู้ชนะการประมูล และอนุมัติให้ขาย หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ อคส. ที่เป็นคู่สัญญาระหว่างกันที่จะดำเนินการ เข้าใจว่าที่ อคส.ชะลอการรับมอบข้าวในโกดังรัฐบาล อาจเป็นเพราะกระแสข่าวที่เกิดขึ้น และรอดูท่าทีจาก ครม. ซึ่งก็ไม่ได้สั่งยกเลิกหรือให้ชะลออะไรออกมา จึงเป็นเรื่องที่ อคส.จะต้องตัดสินใจ” นางพรทิวา กล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ผลจากการที่นางพรทิวาออกมาระบุเช่นนี้ จะทำให้ อคส.สามารถเปิดโกดังให้ผู้ส่งออกมาขนข้าวได้ทันที หากชำระเงินค่าข้าวครบถ้วน สอดคล้องกับการที่ อคส.มีการแต่งตั้งรักษาการผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ คาดว่าจะแต่งตั้งเข้ามาเพื่อรับผิดชอบในเรื่องนี้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |