นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ซึ่งประกอบด้วย นายจวบ จิตนิยม ประธานผู้แทนหอการค้าไทย นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนประเทศฟิลิปปินส์วานนี้ (14 ส.ค.) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในกรอบต่างๆ และกระชับความสัมพันธ์ในโอกาสที่ทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 60 ปี
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้เข้าเยี่ยมคารวะนางกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เพื่อหารือความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และสินค้าเกษตรกรรม ที่ไทยอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ลงนามบันทึกข้อตกลง ส่งผลให้ไทยมีสิทธิกลับไปประมูลขายข้าวให้กับฟิลิปปินส์อีกครั้งหนึ่ง
ที่ผ่านมา ไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก พบว่าการขายข้าวให้ฟิลิปปินส์เป็นเรื่องยาก เนื่องจากที่ผ่านมาฟิลิปปินส์เลือกที่จะสั่งซื้อข้าวจากเวียดนาม ซึ่งเสนอขายข้าวในราคาที่ถูกกว่า
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความร่วมมือและความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ไม่มีปัญหาอะไร แต่จะย้ำเรื่องข้าว โดยการที่รัฐบาลปรับระบบการประกันราคาข้าว เชื่อว่าจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่นๆ ที่ยังมีข้อจำกัดในการส่งไปขายยังตลาดฟิลิปปินส์
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศ ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นปัญหาเชิงนโยบาย แต่เป็นปัญหาในเชิงปฏิบัติ ดังนั้น การหารือครั้งนี้จะครอบคลุมถึงเรื่องกฎระเบียบบางอย่างที่อาจมีความเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างเอกชนและทางการ ซึ่งจะต้องมีการผ่อนคลายตามกรอบของอาเซียนต่อไป
นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ ยังมีจุดยืนหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับไทย และต้องการเร่งรัดความเป็นประชาคมอาเซียน ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ซึ่งบทบาทของไทยในฐานะประธานอาเซียน สอดคล้องกับทิศทางดังกล่าว อีกทั้ง ฟิลิปปินส์ ยังเป็นผู้ประสานงานประเทศในกลุ่มอาเซียนกับสหรัฐ ซึ่งการหารือครั้งนี้ครอบคลุมประเด็นว่าจะผลักดันความร่วมมืออาเซียนและสหรัฐอย่างไรด้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการท่องเที่ยว ไทยพยายามที่จะร่วมมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนมากขึ้น โดยขายการท่องเที่ยวร่วมกัน และจะผลักดันการทำวีซ่าในลักษณะ Schengen Visa เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือด้วย
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |