แหล่งข่าวในวงการค้าข้าว กล่าวว่า ขณะนี้การตรวจสอบคุณภาพข้าวตามโครงการรับจำนำค่อนข้างละเลย อาจมีผลกระทบต่อราคาระบายข้าวในอนาคต จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ตรวจสอบด่วน รวมถึงตรวจสอบขบวนการซื้อสิทธิใบประทวนล่วงหน้าโครงการรับจำนำระหว่างชาวนากับนายทุนท้องถิ่น เพื่อเก็งกำไรตันละ 2 พันบาท หลังจากที่รัฐบาลอนุมัติให้เพิ่มการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง 2552 อีก 1.5 ล้านตัน

แหล่งข่าวในวงการค้าข้าว กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มโรงสีเตรียมยื่นเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยกเลิกการประมูลข้าวรัฐ โดยอ้างกระทรวงพาณิชย์อนุมัติขายข้าวในราคาต่ำกว่าตลาดมากและเมื่อแปลงกลับไปเป็นข้าวเปลือกจะเป็นราคาที่ต่ำกว่าตลาดถึงครึ่ง เช่น ข้าวสาร 5% อนุมัติขาย 1.4 หมื่นบาท/ตัน แปลงกลับไปเป็นข้าวเปลือกราคา 7 พันบาท/ตัน แต่ต้นทุนรับจำนำ 1.1-12. หมื่นบาท หรือ ข้าวหอมมะลิอนุมัติ 2.7 หมื่นบาท/ตัน แปลงกลับไปเป็นข้าวเปลือกราคา 1.4 หมื่นบาท ต้นทุนรับจำนำ 1.5-1.6 หมื่นตัน ส่วนหนึ่งเพราะโรงสีมีการเสนอซื้อข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาอนุมัติเฉลี่ยที่ 1.4 หมื่นบาท/ตัน บางรายเสนอซื้อถึง 1.5 หมื่นบาท/ตัน อีกทั้งปริมาณที่อนุมัติน้อยกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่ ทำให้เสียเปรียบต่อราคาข้าวที่จะส่งออกถูกกดราคาเท่ารายใหญ่ที่ได้ราคาต่ำกว่า

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในการประชุมการเปิดตลาดข้าวภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า) ในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ จะมีการพิจารณาแนวทางในการเปิดเสรีข้าว และมาตรการปกป้องการทุ่มตลาดข้าวจากต่างประเทศ จนกระทบต่อราคาข้าวในประเทศและเกษตรกรไทย ต่อจากนั้นจะนำข้อสรุปแนวทางไปรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับนำเสนอแนวทางการยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว ในเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบ และเตรียมความพร้อมก่อนที่การเปิดเสรีจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2553

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า แนวทางการป้องกันหลังเปิดเสรีนำเข้าข้าวจะมีการพิจารณาว่าควรเป็นการนำเข้าข้าวชนิดประเภทใด ระหว่างข้าวเปลือก ตามที่กลุ่มโรงสีข้าวเสนอ กับข้าวสาร ตามที่สมาคมชาวนาไทยและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเสนอ หรือเปิดเสรีทั้ง 2 ชนิด รวมถึงควรมีการพิจารณาโควต้าปริมาณนำเข้าหรือไม่

ที่มา มติชน