นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง 2552 ว่า ได้สั่งการให้นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เชิญประชุมสมาคมชาวนาไทย สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เกษตรกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้าว หารือสถานการณ์ข้าวเพื่อประกอบการพิจารณากำหนดราคา เสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ครั้งต่อไปในเดือนมีนาคม

"ที่ยังไม่ได้เคาะตัวเลขรับจำนำเพราะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่ส่วนตัวอยากให้เกษตรกรมีรายได้ และรับจำนำไม่น่าต่ำกว่าหมื่นบาทต่อตัน" นางพรทิวากล่าว

นางพรทิวายังกล่าวถึงการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ตรวจสอบการอนุมัติระบายข้าวในสมัยนายไชยา สะสมทรัพย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่า เรื่องการตรวจสอบปัญหาข้าวได้มอบหมายให้นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดูแล ส่วนการดูแลข้าวทั้งระบบจะมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะต้องหารือกันต่อไป

นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังสี ประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการ อคส.เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้อนุมัติตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและทางวินัยของเจ้าหน้าที่ อคส. โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการกระทำไม่ถูกขั้นตอนการอนุมัติระบายข้าวและอนุมัติระบายในช่วงที่นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการจะต้องหาข้อสรุปเพื่อเสนอบอร์ด อคส.ที่จะมีขึ้นในต้นเดือนมีนาคมนี้

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในการประชุม กขช.เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ มีการเสนอราคารับจำนำใน 4 ระดับ คือ 8,500 บาท 9,500 บาท 10,500 บาท และ 12,000 บาทต่อตัน ส่วนราคาควรจะเป็นเท่าไรต้องดูปัจจัยประกอบหลายอย่างและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ มติ กขช. กำหนดเปิดรับจำนำระหว่างวันที่ 16 มีนาคม-31 กรกฎาคม ปริมาณ 2.5 ล้านตัน

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ในภาวการณ์ส่งออกข้าวที่ซบเซาอย่างปัจจุบัน การกำหนดราคารับจำนำสูงเกินจริงหรือนำราคาประชานิยมมาใช้ จะเป็นการทำลายมากกว่าส่งเสริม ราคารับจำนำที่เหมาะสมกับข้าวเปลือกนาปรังตอนนี้ไม่น่าเกิน 10,000-11,000 บาทต่อตัน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการเดินทางเยือนประเทศเวียดนาม ว่า ไทยและเวียดนามได้บรรลุข้อตกลงที่จะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมใน 3 ระดับ เพื่อยกระดับราคาข้าวและสร้างอำนาจต่อรองในตลาดโลก เนื่องจากทั้งสองประเทศไทยถือเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ มีปริมาณการส่งออกรวมกันมากกว่าร้อยละ 50 ของโลก ทั้งนี้ คณะกรรมการ 3 ระดับ ประกอบด้วย 1.ระดับรัฐบาลไทยและพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม 2.ระดับรัฐมนตรีการค้าและพาณิชย์ และ 3.ระดับสหพันธ์ชาวนา โดยมีผู้ส่งออกข้าวไทยและสมาคมอาหารเวียดนามเป็นผู้สนับสนุน คาดว่าจะเห็นการดำเนินงานเป็นรูปธรรมภายในปีนี้

"แนวทางดังกล่าวเปลี่ยนไปจากรัฐบาลเดิม ที่เคยคิดว่าจะจัดตั้งแกนนำตลาดข้าว 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน และจีน ซึ่งไม่เหมาะกับภาวะปัจจุบัน" นายอลงกรณ์กล่าว

ที่มา มติชน