www.riceexporters.or.th  
home about us members contact us FAQ link site map English Thai

"พรทิวา"ล็อกสเปคขายข้าว บีบซื้อขั้นต่ำ 5 แสนตัน/ล็อต


นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาลเพื่อส่งออก 3.8 ล้านตันข้าวสาร ว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการเปิดระบายข้าวรัฐบาล เพราะเวียดนาม คู่แข่งรายสำคัญของไทยระงับการส่งออกถึงเดือนก.ค. นี้ ส่วนพม่าหลังเดือนเม.ย. นี้ จะยกเลิกการส่งออก ขณะที่อินเดียคาดว่าก่อนเดือนพ.ค. นี้ จะขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพียง 100,000-200,000 ตันเท่านั้น

นอกจากนี้รัฐบาลมีข้าวสารในสต็อกสูงถึง 4.1 ล้านตัน ยังไม่รวมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2552 ที่มีเป้าหมายรับจำนำ 2.5 ล้านตัน และข้าวเปลือกนาปีที่จะเริ่มโครงการรับจำนำของปี 2552/2553 ในราวเดือนพ.ย. นี้ อีกหลายล้านตัน จึงทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องเร่งระบายออก

“รัฐมีสต็อกข้าวอยู่จำนวนมาก ต้องรีบขาย ถ้าไม่รีบ ราคาก็จะตกลงอีก ไม่ขายตอนนี้ จะไปขายตอนไหน จะปล่อยให้ราคาร่วงกว่านี้ แล้วค่อยขายก็ไม่คุ้ม ส่วนปริมาณที่จะขายอาจจะไม่หมดทั้งสต็อก แล้วแต่ใครเสนอซื้อเข้ามาเท่าไร แต่จะกำหนดให้แต่ละราย ต้องเสนอซื้อไม่ต่ำกว่า 500,000 ตัน ยืนยันว่า ไม่ได้เอื้อ หรือล็อกสเปคเฉพาะรายใหญ่ แต่เพื่อป้องกันปัญหาการทิ้งสัญญา หากเสนอซื้อแล้วราคาในตลาดลดลงอีก เพราะรายใหญ่มีสายป่านยาวกว่ารายเล็ก และต้องวางค้ำประกัน 5% ของมูลค่าข้าว” นางพรทิวา กล่าว

ส่วนเงื่อนไขการระบายนั้น กำหนดให้ซื้อเพื่อส่งออกทั้งหมด โดยรัฐจะกำหนดราคาขายขั้นต่ำตามความเหมาะสมกับคุณภาพข้าวแต่ละชนิด และจะเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเสนอซื้อเข้ามา ยังคณะกรรมการพิเศษที่ได้แต่งตั้งขึ้น เพื่อพิจารณาการระบายข้าว ประกอบด้วย ตัวแทนจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และสำนักนายกรัฐมนตรี จากนั้นจะเรียกผู้เสนอราคาเข้ามาเจรจาต่อรอง ให้รัฐได้ประโยชน์สูงสุด แต่หากไม่ได้ราคาที่น่าพอใจ ก็อาจยกเลิกได้

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า การระบายข้าวรัฐจะดำเนินการอย่างโปร่งใส มีการเปิดเผยราคาเสนอซื้อ และการเจรจาต่อรอง เพื่อป้องกันการครหา

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.วานนี้ (21 เม.ย.) ยังไม่ได้พิจารณาการจัดทำบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์

แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม. เปิดเผยว่า นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เสนอวาระดังกล่าวให้ที่ประชุมครม.พิจารณา โดยรายงานว่า กระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ ได้มีหนังสือถึงเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมะนิลา เร่งรัดให้รัฐบาลไทยพิจารณาร่างบันทึกความตกลง
ตามกฎหมายของฟิลิปปินส์กำหนดให้กระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ ต้องดำเนินการซื้อข้าวจากภาครัฐและเอกชนของประเทศต่างๆ โดยวิธีเปิดประมูลเท่านั้น และจะสามารถร่วมประมูลได้ต้องทำบันทึกความตกลงกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ก่อน

ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์คาดว่าในปี 2552 ฟิลิปปินส์จะนำเข้าข้าวประมาณ 1.5 ล้านตัน หากมีการจัดทำบันทึกความตกลง จะทำให้ไทยสามารถขายข้าวได้ แต่ไม่แน่ใจว่าการทำบันทึกข้อตกลง จะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ จึงเสนอให้ครม.พิจารณา แม้ก่อนหน้านี้ได้หารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศแล้ว ให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 แต่ไม่น่าจะเข้าข่ายวรรคสอง

"ในที่ประชุมนางพรทิวาขอให้ที่ประชุมชี้ขาดว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเข้าข่ายมาตรา 190 วรรคสองหรือไม่ จากนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามในรายละเอียดเกี่ยวกับการขายข้าวให้แก่ฟิลิปปินส์ ว่าจะมีมูลค่าเท่าใด แต่นางพรทิวาไม่ได้ตอบคำถาม นายกฯ จึงถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับระบุว่าไม่อยากให้ทุกครั้งที่มีการทำการค้าขายกับต่างประเทศ ครม.ต้องมาพิจารณาว่าเข้าข่ายมาตรา 190 หรือไม่ จึงขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับเรื่องนี้ไปพิจารณา นางพรทิวาจึงแจ้งถอนวาระการประชุมดังกล่าวออกไปก่อน ” แหล่งข่าวระบุ

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

 


©
Thai Rice Exporters Association

37 Soi Ngamduplee , Rama 4 Road , Toongmahamek , Sathorn District , Bangkok 10120 ,
Tel. 0-2287-2674-7 , 0-2287-2663-4 , Fax : 0-2287-2678

E-mail :
contact@riceexporters.or.th or reat@ksc.th.com


Copyright © 2009 All rights reserved by Thai Rice Exporters Association.